xs
xsm
sm
md
lg

ประชาชนคือ “ขุนศึกพระราชา” ข้อคิดดีๆ จากผู้พันเบิร์ด-พันโทวันชนะ สวัสดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ด้วยรูปลักษณ์คมเข้มสมนิยาม Smart, Dark Tall, and Handsome อีกทั้งบทบาทการแสดงเป็น “องค์ดำ” หรือ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่โลดแล่นอยู่บนจอภาพยนตร์ คงเป็นภาพที่ใครๆ จดจำได้ดี เมื่อเอ่ยถึง ผู้พันเบิร์ด-พันโทวันชนะ สวัสดี แต่นอกจากรับบทเป็นกษัตริย์นักรบแล้ว แท้ที่จริง เขาคนนี้ยังมีอีกหลากหลายแง่มุมที่น่าสนใจซึ่งใครหลายคนอาจยังไม่เคยรู้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวความคิดว่าด้วยเรื่องการตีความสมเด็จพระนเรศวรฯ ในแบบของเขา รวมถึงทัศนคติที่มีต่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะมีการพูดคุยในประเด็นดังกล่าวอย่างละเอียด เนื่องด้วยผู้คนต่างยึดติดกับภาพความเป็นพระเอกบนจอเงิน จนละเลยข้อสงสัยว่า อะไรคือสิ่งที่เป็นหลักยึดในใจซึ่งหล่อหลอมและผลักดันให้เขากลายเป็นบุคคลที่สาธารณชนกล่าวขานว่าเป็น “พระเอกทั้งนอกจอ-ในจอ”

หากอยากรู้ว่าสิ่งใดคือเบ้าหลอมหรือแนวทางในการดำเนินชีวิตของผู้ชายคนนี้ คุณต้องไม่พลาดบทสนทนาที่เขายินดีบอกเล่าถึงนานาทัศนะอย่างละเอียด

สำคัญที่สุด อะไรคือแรงบันดาลใจให้ผู้พันเบิร์ดยืนยันอย่างหนักแน่นว่า แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่านไปนานแค่ไหน ประชาชนทุกคนย่อมต้องเป็น “ขุนศึกของพระราชา” เสมอ

คือบทบาทและหน้าที่

ถาม: ทั้งการทำหน้าที่ทหารและการที่ได้รับบทเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ความภูมิใจที่คุณมีต่อบทบาททั้งสองนี้ นำมาวัดหรือเปรียบเทียบกันได้ไหม?

ตอบ: วัดได้ครับ เพราะทั้งการเป็นทหารและการแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมถือว่าเป็นงานของผม มันยังอยู่ในโหมดของงาน

ดังนั้นผมก็ยังภาคภูมิใจในอาชีพทหารเหมือนเดิม แต่ในฐานะทหารคนหนึ่งที่มารับบทเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่ง ถ่ายทอดวีรกรรมของท่าน ก็เป็นสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองด้วย เพราะว่าพระองค์ท่านก็เป็นแบบอย่างที่ทหารทุกคนยึดเป็นต้นแบบในแง่ของความเสียสละ เด็ดเดี่ยว กล้าหาญ ซึ่งผมก็ภูมิใจที่ได้มีโอกาสรับบทเป็นผู้ที่เป็นแบบอย่างของเรา


ถาม: รู้สึกอย่างไร ที่ไม่ว่าการเป็นทหารหรือการแสดงภาพยนตร์ของคุณล้วนเกี่ยวพันกับเรื่องของจิตสำนึกต่อแผ่นดิน?

ตอบ: ผมว่าเป็นหน้าที่ที่เหนือกว่าหน้าที่ และทุกคนควรร่วมกันทำหน้าที่นี้กับผม เพราะผมเชื่อเสมอมาว่าจะยุคไหนสมัยใด ขุนศึกจะอยู่คู่กับกษัตริย์ ยิ่งทุกวันนี้ภาพลักษณ์ของสงครามและภัยต่างๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว ภัยที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่ภัยเดียว ไม่ได้มีแค่มหาอุทกภัย แต่มันยังมีภัยอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ตัวเรา อยู่กับสังคมไทยมานาน เพียงแต่มันไม่ได้อยู่ใกล้ตัวคนกรุงเทพฯ เราเลยไม่ได้ตระหนักกับมันมากนัก เช่น ภัยแล้ง แผ่นดินไหว โคลนถล่ม ไฟไหม้ป่า

เราต้องตระหนักถึงภัยคุกคามรุ่นใหม่ที่จะบั่นทอนความเจริญของชาติ ต่อไปนี้มันไม่ใช่แค่มีภัยเรื่องการปกป้องอธิปไตยรูปแบบใหม่ๆ อีกแล้ว แต่มันยังมีภัยธรรมชาติ ภัยยาเสพติด ภัยจากการก่อการร้าย ภัยจากการแตกสามัคคีกันของคนในชาติ ภัยอันเนื่องมาจากการเสื่อมศรัทธาต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ภัยความยากจน ภัยจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างขาดความสมดุล

นี่คือภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่เห็นได้ว่ามันอยู่รอบตัวเรา แล้วเราจะผ่านมันไปได้อย่างไร


ผมเชื่อว่าสิ่งที่จะทำให้เราผ่านมันไปได้ก็คือ 1. ต้องรู้เท่าทัน เราต้องแก้ปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสารให้ทั่วถึง 2. ต้องมีความสามัคคี ดังนั้น ขุนศึกที่ผมพูดถึงจึงหมายถึงประชาชนทุกคนที่ต้องช่วยกัน

พระนเรศวรฯ ในความรู้สึก

ถาม: ก่อนหน้าที่จะได้รับบทเป็นสมเด็จพระนเรศวรฯ คุณเคยศึกษาเรื่องราวของพระองค์มาก่อนหรือไม่? แล้วมีวิธีตีความลักษณะนิสัย อุปนิสัยใจคอของท่านอย่างไร?

ตอบ: ก่อนหน้านี้ผมรู้ว่าสมเด็จพระนเรศวรชนช้าง และเทน้ำอะไรสักอย่างเพื่อประกาศอิสรภาพ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านนั่งเทหรือยืนเท แล้วก็รู้อยู่แค่นั้น แต่รู้ว่าท่านชนช้างแน่ๆ แล้วพอรู้ว่าตัวผมจะต้องมารับบทเป็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผมก็ศึกษาเรื่องราวของท่านเพิ่มเติม แต่ก็ยังไม่รู้อะไรมากนัก ต้องขอบคุณท่านมุ้ย (หม่อมเจ้า ชาตรีเฉลิม ยุคล) ที่ถ่ายทอดข้อมูลให้ผม

ส่วนการตีความหรือการศึกษาเรื่องราวและตัวตนของสมเด็จพระนเรศวรในแบบของผมนั้น ผมศึกษาสมเด็จพระนเรศวรจากบุคคลรอบข้างสมเด็จพระนเรศวรมากกว่าศึกษาจากตัวท่าน ศึกษาจากวัฒนธรรม ศึกษาจากแบบธรรมเนียมปฏิบัติ ศึกษาจากความเป็นอยู่รอบข้าง สิ่งเหล่านี้แหละครับ ที่จะบอกว่าพระนเรศวรเป็นบุคคลแบบไหน

ถาม: นั่นเป็นเรื่องของการแสดง แล้วในมุมมองของคุณเองล่ะ มองสมเด็จพระนเรศวรฯ อย่างไร?

ตอบ: พระองค์ท่านเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความเจ็บปวดในชีวิต เจ็บปวดที่พ่อถูกหาว่าเป็นกบฏ พี่สาวถูกเอาตัวไปอยู่พม่า ครอบครัวของท่านเรียกได้ว่าบ้านแตกสาแหรกขาด แล้วการที่พ่อถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏนี่แรงมากนะครับในสมัยก่อน หาว่าไปเข้ากับศัตรู ชักศึกเข้าบ้าน ขณะที่อาของตัวเอง ก็ต้องเสียกรุงและถูกนำตัวไปหงสา แต่ตายก่อนจะไปถึง น้าอีกคนก็ตายในสนามรบพร้อมกับพระสุริโยทัย ยายตัวเองคือพระสุริโยทัยก็ตาย ตาตัวเองก็มาเสียแผ่นดิน แล้วพระองค์เมื่อต้องครองราชย์ต่อ ก็เรียกได้ว่าเป็นการครองราชย์ภายใต้ความสูญเสียของครอบครัว ซึ่งต้องดำเนินไปตามรอยนั้น

ทั้งที่พระองค์รู้ดีว่าเส้นทางที่พระองค์เลือกเดิน ย่อมนำไปสู่ความสูญเสียของชีวิตตนเองและครอบครัว แต่พระองค์เห็นประโยชน์ของประชาชนสำคัญกว่า ชีวิตนี้พระองค์ไม่ได้เห็นแก่ความสุขของตัวเองเลย นึกถึงแต่ความสุขของส่วนรวม ตัวเองตายไม่เป็นไร ขอให้ลูกข้า หลานข้าพอใจ และไม่ใช่แค่อยู่รอดแต่ต้องอยู่อย่างมีเอกราช
ด้วยรักและศรัทธา พลังจากครอบครัว
ผู้พันเบิร์ดกับภรรยา-คุณปาล์ม วริญญา สวัสดี
ถาม: เล่าถึงชีวิตครอบครัวให้ฟังบ้าง อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตคู่?

ตอบ: คือความเข้าใจครับ และที่สำคัญที่สุดคือ การที่คนในครอบครัวของเรา รักและศรัทธาในตัวเรา อย่างผมเอง ปาล์มเขารัก ศรัทธา และเชื่อมั่นในตัวผม ซึ่งความรู้สึกเหล่านิ้ที่เขามีต่อผม มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและมีกำลังใจ ไม่ว่าจะเจอกับอุปสรรคหรือปัญหาอะไรผมก็จะผ่านไปได้เสมอ

ผมว่าความรักและศรัทธาที่คนในครอบครัวมอบให้แก่กันเป็นสิ่งสำคัญมาก มันคือจุดแรกเริ่มของสังคมโดยรวม ไม่ว่าคนรอบข้างหรือคนอื่นๆ จะมองเราอย่างไร? ไม่ว่าคุณจะท้อหรือเจอปัญหาอะไรจากคนรอบข้าง แต่ตราบใดที่คนในครอบครัวคอยอยู่เคียงข้าง คอยเป็นกำลังใจให้กัน เชื่อมั่นและศรัทธาในกันและกัน สิ่งเหล่านี้ผมเชื่อว่ามันจะทำให้เราเข้มแข็ง และพร้อมเผชิญปัญหาและก้าวผ่านมันไปได้

ผมเชื่อว่าความรัก ความเชื่อมั่นศรัทธาและความเข้าอกเข้าใจกัน เป็นสิ่งที่มีพลานุภาพมากสำหรับการใช้ชีวิตคู่และเชื่อว่าสำคัญกับทุกๆ ครอบครัวด้วย

“ธรรมะ” อยู่ที่ใจ

ถาม: ท้ายสุด เราทราบมาว่าคุณสนใจธรรมะ ช่วยอธิบายถึงวิธีปฏิบัติธรรมในแบบของคุณได้ไหม?

ตอบ: ผมสนใจธรรมะ แต่ธรรมะในแบบของผมไม่ใช่การปฏิบัติแบบเข้าวัดฟังธรรม ผมเคยบวชนะครับ บวชตอนเรียนนายร้อย ตอนนั้นเฮี้ยวมาก ไม่ซึมซับหลักธรรมอะไรเลย ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนเข้าวัดเพื่อไปปฏิบัติธรรม แต่การปฏิบัติธรรมในแบบของผมคือการมีสติ ระลึกรู้จิตใจตนเอง ผมกล้าบอกได้เลย ว่าผมเป็นคนมีธรรมะในใจ นั่นเพราะผมเป็นคนมีความหนักแน่นทางอารมณ์

ความหนักแน่นทางอารมณ์หมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกผิดหวัง รู้สึกเศร้ากับเรื่องใดๆ ก็ตาม ผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองจมปลักอยู่กับความเศร้าจนเกินพอดี เมื่อใดที่รู้สึกว่าตัวเองเริ่มหดหู่มากเกินไป ผมจะสามารถดึงตัวเองกลับมาได้เสมอ ให้กำลังใจตัวเอง มองว่าเมื่อผิดหวังเดี๋ยวก็สมหวังได้ ไม่ต้องไปทุกข์ร้อนหรือโศกเศร้าเสียใจอะไรกับมันมากนัก ชีวิตก็อย่างนี้ จะเศร้าไปทำไม หรือแม้แต่ตอนดีใจด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ผมก็จะทำไม่ต่างกัน คือไม่หลงดีใจไปจนลืมตัว ไม่ดีใจกับอะไรมากจนเกินไป

สรุปก็คือ ผมจะดึงจิตใจตนเองให้มีความพอดีและเดินบนทางสายกลางได้เสมอ ไม่เศร้าเกิน ไปเมื่อผิดหวัง ไม่ดีใจเกินไปเมื่อสมหวัง และหากพูดถึงการทำสมาธิ ผมก็มีวิธีในแบบของผม ผมชอบออกกำลังกาย เช่น ยกน้ำหนัก ผมก็จะฝึกสมาธิโดยการติดตามลมหายใจ ให้ลมหายใจผสานกับกล้ามเนื้อ

เมื่อหายใจเข้าผมรู้ว่ากล้ามเนื้อผมรู้สึกอย่างไร เป็นอย่างไร เมื่อหายใจออกกล้ามเนื้อเป็นอย่างไร หรือแม้แต่การเดิน การวิ่งบนลู่วิ่ง ผมก็ฝึกสมาธิด้วยการจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจหรือกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ซึ่งมันช่วยได้เยอะมากนะครับ ทำให้สมองและจิตใจของผมผ่อนคลายด้วย

นี่คือการฝึกสมาธิในแบบของผม และธรรมะสำหรับผมก็อยู่ที่ใจ นี่แหละครับ


เรื่องโดย Lady Manager
ภาพโดย ตะวัน พงศ์แพทย์
 


>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
 
กำลังโหลดความคิดเห็น