ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชาผู้เปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ และน้ำพระราชหฤทัยอันกว้างใหญ่ไพศาล ด้วยทรงตั้งพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะขจัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ราษฎรของพระองค์ ผ่านโครงการพระราชดำริน้อยใหญ่ จนทำให้พระองค์กลายเป็นพระราชาผู้ประทับอยู่ในหัวใจพสกนิกรชาวไทยทุกดวง
เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธ.ค.54 มูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า จึงได้จัดนิทรรศการ “บรมกษัตริย์วัฒนสถาน” เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและเผยแพร่พระราชประวัติ และพระราชจริยวัตรอันงดงาม ที่ได้รับการพระอภิบาลเมื่อครั้งทรงประทับอยู่ที่วังสระปทุม ผ่านนิทรรศการทั้ง 4 ภาค
คุณชวลี อมาตยกุล กรรมการและเลขานุการมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาฯ เล่าถึงที่มาในการจัดนิทรรศการรอบนี้ว่า อยากให้ทุกคนได้รู้ว่า ทำไมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงเป็นพระราชาที่เป็นที่รักยิ่งของพสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศ ผ่านนิทรรศการพระราชประวัติและพระราชจริยวัตรเมื่อครั้งทรงประทับอยู่ที่วังสระปทุม
นิทรรศการภาคแรก “ยุววารราชปวัตติ์” เป็นพระราชประวัติในส่วนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเยาว์ ได้เสด็จมาประทับ ณ วังสระปทุม ตั้งแต่พระชนมายุพรรษาเดียว ใน พ.ศ.2470 เป็นปีที่สมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกามาประทับ ณ วังสระปทุม
ในส่วนนี้ได้นำของใช้ส่วนพระองค์มาจัดแสดงให้ชม อาทิ รถเข็น ซึ่งเป็นรถที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับเล่นบริเวณสนามหญ้าในวังสระปทุม เมื่อทรงพระเยาว์ รวมไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์เมื่อครั้งที่ทรงเล่นขุดคลองและปลูกป่า รวมไปถึงทรงเล่นกับลิงที่สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าโปรดให้เลี้ยงไว้ที่วังสระปทุม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นโครงการพระราชดำริฯ ที่ทรงคุณค่าแก่ปวงชนชาวไทยยิ่งนัก อาทิ โครงการแก้มลิง, โครงการกังหันน้ำชัยพัฒนา, โครงการฝนหลวงตามแนวพระราชดำริ ฯลฯ
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญที่คนไทยทั้งประเทศพลาดชมไม่ได้คือ ลายพระหัตถ์สมเด็จพระบรมราชชนนีกราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาฯ เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2470 ถึงการพระอภิบาลพระราชโอรสและพระราชธิดา ที่ทรงพระอภิบาลรักษาอบรมอย่างดี และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเจริญชนมายุ จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์อันประเสริฐ
ภาคที่สอง “ราชประดิพัทธภิษิต” เป็นเรื่องราวการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบมราชินีนาถ ณ วังสระปทุม ซึ่งไม่เพียงแต่จะได้ขึ้นไปชมพระตำหนักใหญ่ อันเป็นพระตำหนักที่สมเด็จพระพันวัสสาฯ ทรงออกแบบด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่ยังจะได้ชื่นชมอีกหนึ่งสถานที่ประวัติศาสตร์ของไทยคือ “เฉลียงพระตำหนักใหญ่ชั้นบน” เป็นสถานที่สำคัญที่ใช้ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และได้ชมห้องที่ทรงสถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ฯ (พระอิสริยยศขณะนั้น) ซึ่งเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์หาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ภาคที่สาม “ราชกฤตย์กตัญญุตา” เรื่องพระมหากษัตริย์ผู้ทรงกตัญญู แสดงพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จทรงเยี่ยมสมเด็จพระบรมราชชนนี ณ พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม และพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงทำ “Boston Brown Bread” จากตำราอาหารที่ทรงจดไว้ เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ส่วนภาคที่ 4 คือ"พันวัสสาราชกรณียานุวัตร" ซึ่งจัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับพระมหากรุณาธิคุณที่สมเด็จพระพันวัสสาฯ ได้พระราชทาความช่วยเหลือแก่พสกนิกรในทุกด้าน เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาราษฎร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ประสบภัยธรรมชาติ เช่น อุทกภัย ทรงทุ่มเท ทรงหาแนวทางขจัดทุกข์ร้อน แก้ไขปัญหาด้วยพระวิริยะอุตสาหะ ดังเป็นที่ประจักษ์แก่ปวงชนสืบมา
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งความภักดี ด้วยมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาฯ เปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ฯ ณ ตำหนักใหญ่วังสระปทุม ได้ตั้งแต่วันนี้-31 มี.ค.55 โทร.นัดหมายล่วงหน้าที่ 0-2252-1965-67 หรือ www.queensavang.org ค่าเข้าชมผู้ใหญ่คนละ 150 บาท นักเรียน/นักศึกษา 50 บาท
แล้วทุกคนจะได้ซาบซึ้งใจว่า ทำไมคนไทยถึงรักพระเจ้าอยู่หัว
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
