คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
ตอนจีบกันใหม่ๆ โลกทั้งโลกของคุณเป็นสีชมพู ทุกสิ่งดูสดใสสวยงามไปหมด หญิงชายยุคใหม่เริ่มทดลองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันตามลำพังสักระยะหนึ่ง นัยว่า “เพื่อดูใจซึ่งกันและกัน” มันก็ยังไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
แต่เมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายหญิงเริ่มพูดถึงอนาคตกับผู้ชายของเธอ เช่น ชีวิตครอบครัว การมีลูก หรือเราจะสร้างเรือนหอกันอย่างไร ที่ไหน ฯลฯ ความสัมพันธ์ของพวกคุณก็จะเริ่มมีปัญหาแล้ว และเมื่อแต่งงานกัน คุณก็จะเจอปัญหาร้อยแปดที่ตามมาอีกเป็นพวง เช่น
ปัญหาจากพ่อแม่
มาลองดูตัวอย่างปัญหาของชาวออสซี่บางคู่ซึ่งอาจตรงกับปัญหาที่คุณประสบอยู่ในปัจจุบันก็ได้ (เพราะตอนนี้หนุ่มสาวชาวไทยมีวิถีชีวิตแบบฝรั่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว)
ชาร์ลอตต์กับเดวิดอายุ 19 ทั้งคู่เมื่อพวกเขาพบกัน “พอเริ่มคบหากัน แม่ของเดวิดก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เธอไม่ชอบฉัน” ชาร์ลอตต์เล่า “ลูกชายทุกคนของเธอล้วนจบกฎหมายหรือไม่ก็เป็นหมอ และปรากฏว่าการเรียนบัญชีของฉันมันไม่ดีพอสำหรับเธอ หลังจากผ่านไป 4 ปี ฉันก็เริ่มคิดว่า รักกับผู้ชายคนอื่นคงจะง่ายกว่ามั้ง”
ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ที่สมบูรณ์แบบหรอกครับ แนวคิดที่ว่าคุณจะเจอเพื่อนใจซึ่งสามารถร่วมฝันทุกอย่างของคุณได้ เช่น การย้ายไปทำงานที่ดีกว่าในต่างแดนเมื่ออยู่ในวัย 20 เศษ หรือมีลูกเมื่ออายุ 30 กว่านั้น มันเป็นเรื่องที่ผู้ชายของคุณอาจไม่เห็นด้วยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มนุษย์เราสามารถเรียนรู้การประนีประนอมในเรื่องส่วนใหญ่ได้ การไม่เห็นด้วยในบางเรื่องก็สามารถเป็นตัวทำงายความสัมพันธ์ได้เช่นกัน
แอนดรูว์ จี.มาร์แชล (Andrew G.Marshall) นักบำบัดชีวิตสมรส และผู้เขียนหนังสือ I LOVE YOU BUT I'M NOT IN LOVE WITH YOU (ฉันรักเธอ แต่ฉันไม่หลงรักเธอหรอก) กล่าวว่า “ผู้หญิงเรามักคิดกันว่า ความรักพิชิตทุกอย่าง แต่ถ้าเพื่อนชายของคุณคิดแต่ว่าพ่อแม่ของเขาจะคิดอย่างไร และพวกท่านไม่มีวันยอมรับคุณ นั่นแหละที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง”
แล้วคุณจะทำอย่างไร ถ้าพ่อแม่ของเขาไม่ปลื้มคุณเลย?
“จงใช้ความสุภาพโดยไม่ทำให้ดูเหมือนว่าคุณตั้งป้อมเอาชนะคะคานพ่อแม่ของเขาอย่างไม่ลดละ” มาร์แชลบอก “โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป คนเราจะยอมปรองดองกัน”
แต่ถ้าพ่อแม่ของเขายังคงตั้งหน้าเป็นปฏิปักษ์กับคุณอยู่ ก็ให้คุยกับคู่รักของคุณ ถ้าเขายังไม่สนใจไยดีต่อทิฐิของพวกท่านอยู่ต่อไป มันก็ถึงคิวของคุณที่จะต้อง “ลาละโยม”
อย่างไรก็ตาม เบ็ตตินา อารันต์ (Bettina Arndt) ผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์ กล่าวว่า “บ่อยครั้งที่พลังอำนาจเปลี่ยนมือในทันทีที่คุณมีลูกเข้ามาอยู่ในฉากสถานการณ์ เพราะมีแนวโน้มว่าครอบครัวของเขาต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลานย่าหลานปู่ของพวกเขา”
พูดง่ายๆ ก็คือ ลูกน้อยของคุณจะเป็นโซ่ทองคล้องใจ สำหรับคุณกับพ่อแม่ของเขานอกเหนือจากการเป็นโซ่ตรวนของคุณเอง
ปัญหาเรื่องลูก
ในขณะที่คุณอาจต้องการเป็นแม่คน แต่จากการศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า มากกว่า 1 ใน 4 ของผู้ชายออสซี่ไม่อยากจะมีลูก (คงไม่ต่างจากผู้ชายไทยเท่าไรนักหรอกครับ)
แต่ถ้าพวกเขาเจอกับคู่ที่ใช่ มันจะเป็นอีกเรื่องหรือเปล่า อารันต์ไม่แน่ใจ
“ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของผู้หญิงก็คือ เหมาเอาว่าผู้ชายคนที่พูดว่า เขาไม่ต้องการมีลูกนั้นจะเปลี่ยนใจในภายหลัง”
แอเดรียนา วัย28 เคยมีวิวาทะกับคู่รักของเธอเป็นเวลา 3 ปีในเรื่องการมีลูก
“ตอนฉันพบกับโจเอลใหม่ๆ เรื่องลูกไม่อยู่ในความสนใจของเขาเลย แต่เมื่อพบกับลูกชาย 2 คนของเขา (โจแอลเป็นพ่อม่ายลูกติด) ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องนี้” เธอบอก “โจแอลกล่าวหาว่า การมีลูกเป็นสาเหตุหนึ่งของการหย่าร้าง (ครั้งก่อน) ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า เขาไม่อยากมีลูกอีกแล้ว แต่ฉันอยากมีลูกใจจะขาด เราจึงตัดสินใจไปพบแพทย์ด้วยกัน เพราะฉันต้องการการตัดสินใจโดยเร็ว ฉันไม่ต้องการรอให้ถึงอายุ 35 แล้วคิดว่า “โอ้ ชาตินี้ฉันคงไม่มีลูกเป็นของตัวเองเสียแล้ว”
เบธ ฟอลลินี (Beth Follini) ผู้เชี่ยวชาญชีวิตคู่กล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกที่คู่สามีภรรยาไม่เคยปรึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องสำคัญก่อนแต่งงาน
“ผู้หญิงหลายคนบอกฉันว่า เธอทึกทักเอาว่าเมื่อเขาขอแต่งงาน เรื่องลูกจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่โดยอัตโนมัติของเขา”
ฟอลลินีประมาณการณ์ว่า 40% ของผู้รับการปรึกษาของเธอมีคู่ชีวิตที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในความทะเยอทะยานที่จะเป็นพ่อคนแม่คน “ผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม และนำเรื่องนี้มาหารือตั้งแต่มีความสัมพันธ์กันใหม่ๆ มิฉะนั้นก็ต้องเสี่ยงกับความผิดหวัง” เธอพูด
เราไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณร่วมกันตั้งชื่อลูกตั้งแต่การเดทครั้งแรกหรอก แต่ทันทีที่คุณทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง จงอย่าอายที่จะถามว่าเขามองอนาคตอย่างไร ฟอลลินีเองก็ตกอยู่ในสถานภาพนี้ และเอ่ยถึงมันเมื่ออายุ 35
“เราหารือกันในประเด็นนี้ประมาณ 1 ปี แต่ในที่สุดฉันก็พูดกับเขาว่า-ถ้าคุณไม่ต้องการมีลูก ฉันก็คิดว่าเราคงไม่สามารถมีความสัมพันธ์กันต่อไปได้”
และด้วยคำขาดดังกล่าว เขาจึงตัดสินใจว่า เขาสามารถลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมและชงนมให้ลูกกินตอนกลางคืนได้
ฟอลลินีคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมี “การขีดเส้นใต้” หรือการยื่นคำขาดในเรื่องนี้
“มันต้องมีจุดหนึ่งที่คุณต้องเต็มใจตัดความสัมพันธ์ ถ้าคุณต้องการลูกแต่เขาไม่อยากมี”
การเลิกกันในขณะที่เพื่อนๆ ของคุณกำลังลงหลักปักฐานในชีวิตสมรสของพวกเขานั้น มันน่าสยองขวัญอยู่หรอก แต่มันยังดีกว่าการยอมสละความฝันในการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ของคุณ
“มิฉะนั้น คุณก็จะลงเอยด้วยความรู้สึกแค้นใจคู่รักของคุณไปตลอดชีวิต”
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
ตอนจีบกันใหม่ๆ โลกทั้งโลกของคุณเป็นสีชมพู ทุกสิ่งดูสดใสสวยงามไปหมด หญิงชายยุคใหม่เริ่มทดลองใช้ชีวิตคู่ด้วยกันตามลำพังสักระยะหนึ่ง นัยว่า “เพื่อดูใจซึ่งกันและกัน” มันก็ยังไม่มีปัญหาอะไรมากนัก
แต่เมื่อถึงเวลาที่ฝ่ายหญิงเริ่มพูดถึงอนาคตกับผู้ชายของเธอ เช่น ชีวิตครอบครัว การมีลูก หรือเราจะสร้างเรือนหอกันอย่างไร ที่ไหน ฯลฯ ความสัมพันธ์ของพวกคุณก็จะเริ่มมีปัญหาแล้ว และเมื่อแต่งงานกัน คุณก็จะเจอปัญหาร้อยแปดที่ตามมาอีกเป็นพวง เช่น
ปัญหาจากพ่อแม่
มาลองดูตัวอย่างปัญหาของชาวออสซี่บางคู่ซึ่งอาจตรงกับปัญหาที่คุณประสบอยู่ในปัจจุบันก็ได้ (เพราะตอนนี้หนุ่มสาวชาวไทยมีวิถีชีวิตแบบฝรั่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว)
ชาร์ลอตต์กับเดวิดอายุ 19 ทั้งคู่เมื่อพวกเขาพบกัน “พอเริ่มคบหากัน แม่ของเดวิดก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เธอไม่ชอบฉัน” ชาร์ลอตต์เล่า “ลูกชายทุกคนของเธอล้วนจบกฎหมายหรือไม่ก็เป็นหมอ และปรากฏว่าการเรียนบัญชีของฉันมันไม่ดีพอสำหรับเธอ หลังจากผ่านไป 4 ปี ฉันก็เริ่มคิดว่า รักกับผู้ชายคนอื่นคงจะง่ายกว่ามั้ง”
ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ที่สมบูรณ์แบบหรอกครับ แนวคิดที่ว่าคุณจะเจอเพื่อนใจซึ่งสามารถร่วมฝันทุกอย่างของคุณได้ เช่น การย้ายไปทำงานที่ดีกว่าในต่างแดนเมื่ออยู่ในวัย 20 เศษ หรือมีลูกเมื่ออายุ 30 กว่านั้น มันเป็นเรื่องที่ผู้ชายของคุณอาจไม่เห็นด้วยก็ได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มนุษย์เราสามารถเรียนรู้การประนีประนอมในเรื่องส่วนใหญ่ได้ การไม่เห็นด้วยในบางเรื่องก็สามารถเป็นตัวทำงายความสัมพันธ์ได้เช่นกัน
แอนดรูว์ จี.มาร์แชล (Andrew G.Marshall) นักบำบัดชีวิตสมรส และผู้เขียนหนังสือ I LOVE YOU BUT I'M NOT IN LOVE WITH YOU (ฉันรักเธอ แต่ฉันไม่หลงรักเธอหรอก) กล่าวว่า “ผู้หญิงเรามักคิดกันว่า ความรักพิชิตทุกอย่าง แต่ถ้าเพื่อนชายของคุณคิดแต่ว่าพ่อแม่ของเขาจะคิดอย่างไร และพวกท่านไม่มีวันยอมรับคุณ นั่นแหละที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวง”
แล้วคุณจะทำอย่างไร ถ้าพ่อแม่ของเขาไม่ปลื้มคุณเลย?
“จงใช้ความสุภาพโดยไม่ทำให้ดูเหมือนว่าคุณตั้งป้อมเอาชนะคะคานพ่อแม่ของเขาอย่างไม่ลดละ” มาร์แชลบอก “โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป คนเราจะยอมปรองดองกัน”
แต่ถ้าพ่อแม่ของเขายังคงตั้งหน้าเป็นปฏิปักษ์กับคุณอยู่ ก็ให้คุยกับคู่รักของคุณ ถ้าเขายังไม่สนใจไยดีต่อทิฐิของพวกท่านอยู่ต่อไป มันก็ถึงคิวของคุณที่จะต้อง “ลาละโยม”
อย่างไรก็ตาม เบ็ตตินา อารันต์ (Bettina Arndt) ผู้เชี่ยวชาญความสัมพันธ์ กล่าวว่า “บ่อยครั้งที่พลังอำนาจเปลี่ยนมือในทันทีที่คุณมีลูกเข้ามาอยู่ในฉากสถานการณ์ เพราะมีแนวโน้มว่าครอบครัวของเขาต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับหลานย่าหลานปู่ของพวกเขา”
พูดง่ายๆ ก็คือ ลูกน้อยของคุณจะเป็นโซ่ทองคล้องใจ สำหรับคุณกับพ่อแม่ของเขานอกเหนือจากการเป็นโซ่ตรวนของคุณเอง
ปัญหาเรื่องลูก
ในขณะที่คุณอาจต้องการเป็นแม่คน แต่จากการศึกษาวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า มากกว่า 1 ใน 4 ของผู้ชายออสซี่ไม่อยากจะมีลูก (คงไม่ต่างจากผู้ชายไทยเท่าไรนักหรอกครับ)
แต่ถ้าพวกเขาเจอกับคู่ที่ใช่ มันจะเป็นอีกเรื่องหรือเปล่า อารันต์ไม่แน่ใจ
“ความผิดพลาดอย่างหนึ่งของผู้หญิงก็คือ เหมาเอาว่าผู้ชายคนที่พูดว่า เขาไม่ต้องการมีลูกนั้นจะเปลี่ยนใจในภายหลัง”
แอเดรียนา วัย28 เคยมีวิวาทะกับคู่รักของเธอเป็นเวลา 3 ปีในเรื่องการมีลูก
“ตอนฉันพบกับโจเอลใหม่ๆ เรื่องลูกไม่อยู่ในความสนใจของเขาเลย แต่เมื่อพบกับลูกชาย 2 คนของเขา (โจแอลเป็นพ่อม่ายลูกติด) ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องนี้” เธอบอก “โจแอลกล่าวหาว่า การมีลูกเป็นสาเหตุหนึ่งของการหย่าร้าง (ครั้งก่อน) ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า เขาไม่อยากมีลูกอีกแล้ว แต่ฉันอยากมีลูกใจจะขาด เราจึงตัดสินใจไปพบแพทย์ด้วยกัน เพราะฉันต้องการการตัดสินใจโดยเร็ว ฉันไม่ต้องการรอให้ถึงอายุ 35 แล้วคิดว่า “โอ้ ชาตินี้ฉันคงไม่มีลูกเป็นของตัวเองเสียแล้ว”
เบธ ฟอลลินี (Beth Follini) ผู้เชี่ยวชาญชีวิตคู่กล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรอกที่คู่สามีภรรยาไม่เคยปรึกษาเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องสำคัญก่อนแต่งงาน
“ผู้หญิงหลายคนบอกฉันว่า เธอทึกทักเอาว่าเมื่อเขาขอแต่งงาน เรื่องลูกจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่โดยอัตโนมัติของเขา”
ฟอลลินีประมาณการณ์ว่า 40% ของผู้รับการปรึกษาของเธอมีคู่ชีวิตที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในความทะเยอทะยานที่จะเป็นพ่อคนแม่คน “ผู้หญิงจะต้องเป็นฝ่ายริเริ่ม และนำเรื่องนี้มาหารือตั้งแต่มีความสัมพันธ์กันใหม่ๆ มิฉะนั้นก็ต้องเสี่ยงกับความผิดหวัง” เธอพูด
เราไม่ได้กำลังแนะนำให้คุณร่วมกันตั้งชื่อลูกตั้งแต่การเดทครั้งแรกหรอก แต่ทันทีที่คุณทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างจริงจัง จงอย่าอายที่จะถามว่าเขามองอนาคตอย่างไร ฟอลลินีเองก็ตกอยู่ในสถานภาพนี้ และเอ่ยถึงมันเมื่ออายุ 35
“เราหารือกันในประเด็นนี้ประมาณ 1 ปี แต่ในที่สุดฉันก็พูดกับเขาว่า-ถ้าคุณไม่ต้องการมีลูก ฉันก็คิดว่าเราคงไม่สามารถมีความสัมพันธ์กันต่อไปได้”
และด้วยคำขาดดังกล่าว เขาจึงตัดสินใจว่า เขาสามารถลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมและชงนมให้ลูกกินตอนกลางคืนได้
ฟอลลินีคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมี “การขีดเส้นใต้” หรือการยื่นคำขาดในเรื่องนี้
“มันต้องมีจุดหนึ่งที่คุณต้องเต็มใจตัดความสัมพันธ์ ถ้าคุณต้องการลูกแต่เขาไม่อยากมี”
การเลิกกันในขณะที่เพื่อนๆ ของคุณกำลังลงหลักปักฐานในชีวิตสมรสของพวกเขานั้น มันน่าสยองขวัญอยู่หรอก แต่มันยังดีกว่าการยอมสละความฝันในการมีครอบครัวที่สมบูรณ์ของคุณ
“มิฉะนั้น คุณก็จะลงเอยด้วยความรู้สึกแค้นใจคู่รักของคุณไปตลอดชีวิต”
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net