หลังจากผ่านพ้นเวลาปิดหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค. 2554 สังคมไทยได้คงได้คำตอบแน่ชัดแล้วว่าพรรคการเมืองใดมีคะแนนนำเหนือทุกพรรค
แต่ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งหรือพรรคใดจะแพ้ และนัยของการแสดงพลัง ‘ไม่เลือก’ นักการเมืองโกงกินชาติจะมีผลคะแนนแตกต่างกันสักแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ไม่ว่าอย่างไร เมืองไทยก็ยังต้องมี ‘นายกรัฐมนตรี’ มาทำหน้าที่บริหารประเทศชาติ ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เพราะเหตุนั้น คำถามไถ่ถึง ‘นายกฯในฝัน’ จึงน่าจะเป็นคำถามยอดฮิต ว่าแล้วก็ลองมาฟังคำตอบของตัวแทนเหล่าเซเลบริตี้จากแวดวงสังคมดูบ้าง ว่าพวกเขามีความคิดเห็นเช่นไร และคาดหวังหรือวาดภาพผู้บริหารประเทศในอุดมคติของตนไว้เลิศหรูสักแค่ไหน ?
เริ่มด้วย วิไล อิสสระ ภริยาคนสวยของมหาเศรษฐีอารมณ์ดีอย่างโอฬาร อิสสระ ซึ่งบอกกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำถึงคุณสมบัติที่นายกรัฐมนตรีในฝันของเธอพึงปฏิบัติในขณะดำรงตำแหน่งผู้บริหารประเทศ
“นายกฯ ในฝันหรือนายกฯ ในอุดมคติของดิฉัน ต้องไม่คอรัปชั่น, ต้องเห็นแก่ประเทศชาติและประชาชน, ต้องยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตน และประการสุดท้าย นายกรัฐมนตรีต้องเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเองเสมอ”
นับเป็นคุณสมบัติขาวสะอาด ไร้ที่ติ ทว่า เมื่อเหลียวมองในรัฐสภาตามโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว นายกฯ ตามอุดมคติของคุณวิไลนั้น หาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในห้วงมหรรณพเสียอีก
ไม่ต่างกันนักกับความเห็นของ พาย-ณัฐอร ลิมปิชาติ หลานสาวคนสวยของท่านผู้หญิงศรี ลิมปิชาติ ที่ยืนยันว่า นายกฯ ในอุดมคติของเธอนั้น...
“ต้องเป็นคนแน่วแน่ หนักแน่น เมื่อเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้แล้ว เขาก็ต้องเห็นแก่ประชาชนเป็นหลัก ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล ในความเห็นของพาย การเมืองของประเทศไทยตอนนี้ เหมือนกลายเป็นที่ที่นักการเมืองเข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่มีใครคิดถึงประชาชนอย่างแท้จริง เป็นที่ที่แต่ละคนจะเข้ามาหาอำนาจให้ตัวเอง แต่ไม่ได้คิดถึงประชาชนและประเทศชาติ”
สาวพายย้ำด้วยว่า นายกรัฐมนตรีในฝันของเธอ จะต้องเป็นคนที่ก้าวเข้าหาประชาชน ไปรับฟังสารทุกข์สุขดิบจากคนในสังคมด้วยตนเอง มีปัญหาเกิดขึ้นที่ใดก็ต้องลงพื้นที่พบปะขอความเห็นจากผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่นั้นๆ อย่างจริงจัง มิใช่สักแต่ว่าคอยฟังปัญหาต่างๆ จากคำบอกเล่าของคนที่แวดล้อม หรือนั่งฟังปัญหาอยู่บน ‘เก้าอี้ประจำตำแหน่ง’ โดยไม่ได้ไปพบเห็นทุกอย่างด้วยสายตาตนเอง
และสำคัญที่สุด เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้น ผู้เป็นนายกฯ ย่อมต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลทั้งต้องมีความเด็ดเดี่ยว กล้าหาญ กล้าที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา เด็ดขาด โดยแก้ที่ต้นเหตุ มิใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือปล่อยให้ความเดือดร้อนของประเทศชาติและประชาชนกลายเป็นเรื่องคาราคาซัง ยืดเยื้อ หาทางออกไม่ได้อยู่ร่ำไป
ปิดท้ายด้วยมุมมองน่าสนใจจาก ธนกร ฮุนตระกูล นักธุรกิจหนุ่มผู้มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่ขอบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ว่า หากเอ่ยถึงนายกฯ ในฝัน หรือนายกฯ ในอุดมคติ ในความคิดของเขา ‘ใครคนนั้น’ ก็ควรจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างจริงใจและจริงจัง เพราะเมื่อเอ่ยถึงการใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรานั้น หมายความว่าผู้นำรัฐบาลควรจะมีนโยบายที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ในที่นี้ มิได้หมายถึงความร่ำรวยแต่หมายถึงการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าการจริงจังเรื่องลดมลภาวะเป็นพิษ หรือครอบคลุมถึงการลดความเครียดของผู้คน กระตุ้นหรือปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนสามารถตั้งรับและรู้เท่าทันลัทธิวัตถุนิยม
เพราะในความเห็นของธนกร การจูงใจ หาเสียง หรือเอาใจด้วยการเน้นนโยบายแบบประชานิยม เน้นความฟุ้งเฟ้อ ย่อมไม่ก่อประโยชน์ในระยะยาวเท่าการให้โอกาสทางการศึกษา ปลูกจิตสำนึกที่ดีงามและรู้เท่าทันสังคม
แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่นักธุรกิจหัวใจอนุรักษ์ผู้นี้ ให้ความสำคัญก็ยังคงเป็นเรื่องของธรรมชาติ ป่าไม้ และสัตว์ป่า
“ผมให้ความสำคัญกับนโยบายมากกว่าตัวบุคคลนะครับ และในความเห็นผม ทุกวันนี้ เมืองไทยไม่ได้มีการปกป้องสิทธิของสัตว์เลย ผมอยากให้มีแก้ไขกฎหมายที่นำไปสู่การเพิ่มโทษให้กับผู้ที่ลักลอบค้าสัตว์ป่า ทุกวันนี้กฎหมายปรับแค่ 10,000 บาท แล้วก็ปล่อยตัวผู้กระทำผิด ถือว่าเป็นโทษที่เบา ทำให้สถานการณ์ของสัตว์ป่าในเมืองไทยทุกวันนี้ ไม่ดีขึ้น น่าเป็นห่วงมาก ปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าก็เช่นเดียวกัน รัฐบาลจะทำอย่างไร เมื่อป่าทุกวันนี้ลดน้อยลงมาก”
สำหรับธนกร เขาบอกว่าการที่นายกฯ ในฝัน จะต้องดีแค่ไหน ซื่อสัตย์เพียงใด หรือ เก่ง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวมากน้อยอย่างไรนั้น เป็นเรื่องในอุดมคติที่ทุกคนย่อมวาดหวัง แต่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญยิ่งกว่าก็คือความรับผิดชอบในประเด็นทางสังคม มีความกล้าหาญในการใช้นโยบายที่เป็นประโยชน์กับคนในประเทศอย่างจริงจังและจริงใจ
ท้ายที่สุด นักอนุรักษ์ผู้นี้ก็ไม่ลืมขยายความไปถึงสังคมในอุดมคติของเขาด้วย
“ประเทศในอุดมคติของผม เป็นประเทศที่มีธรรมชาติ แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ผมเชื่อว่า หากเป็นเช่นนั้นได้จริง ประเทศของเราจะเต็มไปด้วยสันติสุข เพราะธรรมชาติจะขัดเกลาจิตใจของเราให้อ่อนโยน ไม่แก่งแย่งกันอย่างที่กำลังเป็นอยู่”
หลากหลายความเห็นล้วนน่าสนใจ แต่ความจริงหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ‘นายก ฯ ในฝัน’ และ ‘สังคมไทยในฝัน’ จะเกิดขึ้นในโลกของความเป็นจริงหรือไม่ ? ก็ยังคงเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนต้องตามหาต่อไป.
.......…....
เรื่องโดย : นางสาวยิปซี
กราฟิกโดย : เปเล่