วันนี้ไม่มีข้อสงสัยใดๆ อีกต่อไปแล้ว สำหรับ เจ้าชายวิลเลียม ในเรื่องของความเหมาะสมในการก้าวขึ้นสืบสันตติวงศ์ต่อจาก พระราชินีอลิซาเบธที่ 2 เพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่ใช่เพียงแค่เชื้อสายหรือด้วยอายุเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพระราชินีเองที่ตัดสินพระทัยแล้วว่า “วิลเลียมคือกษัตริย์องค์ต่อไป”
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป ตัวแปรสำคัญและความกังวลอันใหญ่หลวง ความอึมครึมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง เมื่อพูดถึงหัวข้อการสืบสันตติวงศ์ เพียงเพราะหญิงสาวที่ชื่อ “เคท มิดเดิลตัน”
บทบาทของเจ้าชายรูปงามชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพระราชินีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เจ้าชายวิลเลียมคอยตามเสด็จไปร่วมงานเกือบทุกพระราชกรณียกิจ ไม่ว่าจะเป็นงานสังคม หรือประกอบกิจกุศลก็ตาม ยิ่งระยะหลายเดือนมานี้ ภาพที่เห็นค่อนข้างชัดเจนว่า ผู้ที่จะอยู่เคียงข้างพระราชินีอลิซาเบธ หาใช่ เจ้าชายฟิลลิป พระสวามี หรือ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์มกุฎราชกุมาร ไม่ แต่กลับเป็น พระราชนัดดาวัย 27 ชันษา “เจ้าชายวิลเลียม” นั่นเอง
เจ้าชายวิลเลียม เองทรงวางพระองค์ได้ดีในบทบาทที่เรียกว่า “Shadow King” ที่คอยเรียนรู้บทบาทการวางพระองค์ และการปรากฏพระองค์ต่อหน้าสาธารณชน ร่วมกับพระอัยยิกา อีกทั้งพระองค์เอง เรื่องพระปรีชาสามารถด้านการทหาร ก็สร้างความประทับใจให้แก่พระสกนิกรทั่วไป เพราะล่าสุดเจ้าชายวิลเลียมเพิ่งจะทรงสำเร็จหลักสูตรการฝึกฝนช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล ด้วยเฮลิคอปเตอร์ไปหมาดๆ
อีกเหตุผลหนึ่งที่เป็นเหมือนแรงผลักดันให้เกิดแนวความคิดยอมรับพระองค์ ในฐานะผู้สืบสันตติวงศ์องค์ต่อไปของ เจ้าชายวิลเลียมเด่นชัดขึ้น มาจาก เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระบิดานั่นเอง ซึ่งดูเหมือนตอนนี้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะมีความสุขกับชีวิตในการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมกับองค์กรอิสระต่างๆ รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าร่วมกับนางคามิลลา ที่นิยมชมชอบการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก
เมื่อพระสวามีอย่าง เจ้าชายฟิลลิป ก้าวเข้าสู่วัย 88 พรรษา และโอรสอย่าง เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ที่มีความสุขกับโลกส่วนตัว ทำให้พระราชินีทรงมั่นพระทัยในการเลือก และการวางพระองค์ให้ เจ้าชายวิลเลียม คือองค์รัชทายาทที่จะเป็นผู้รับตำแหน่งอันสำคัญที่สุดของสหราชอาณาจักร
แต่อะไรบนโลกนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป แม้จะเป็นชีวิตของราชวงศ์อันสูงศักดิ์ก็ตามที มิหนำซ้ำเรื่องราวที่เกิดขึ้นบางที เหมือนหรือยิ่งกว่าละครเสียอีก ถ้าในมุมของเจ้าชายวิลเลียมเพียงพระองค์เอง ไม่มีข้อตำหนิและข้อกังวลใดๆ สำหรับการก้าวขึ้นเป็นกษัตริย์ หากแต่วันนี้สตรีที่เคียงข้างกับเจ้าชายนั้น นอกจากพระราชินีแล้ว ยังมี “เคท มิดเดิลตัน” และดูเหมือนสำหรับ เจ้าชายวิลเลียม เธอผู้นี้จะสำคัญยิ่งกว่าเสียด้วย
เจ้าชายวิลเลียม ทรงคบหากับเคทมานานกว่า 6 ปีแล้ว แม้จะมีช่วงหนึ่งที่ระหองระแหงกันบ้าง แต่สุดท้ายด้วยความรักที่มีต่อกัน ก็ทำให้กลับมาหวานชื่นกันเช่นเดิม ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าชายวิลเลียมยังทรงตอกย้ำความรักความจริงใจของทั้งคู่ ด้วยการประกาศหมั้นและเตรียมหมั้นอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
ว่ากันว่าเจ้าชายวิลเลียมทรงทอดพระเนตรไกลไปจนถึงพิธีอภิเษกสมรส ที่พระองค์เองตั้งพระทัยว่าจะเริ่มใช้ชีวิตคู่เมื่ออายุ 30 ชันษา และจะเรียกว่าเป็นเหตุพอดีหรือไม่ เพราะในปีที่เจ้าชายวิลเลียมมีพระชนมายุครบ 30 ชันษา และมีแผนจะอภิเษกสมรสคือปี 2012 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 75 พรรษา ของพระราชินีอลิซาเบธนั่นเอง ทำให้เหมือนกับฟ้าผ่าลงกลางสำนักพระราชวังอังกฤษ
ระยะหลายเดือนที่ผ่านมา เบื้องหลังประตูห้องประชุมของสำนักพระราชวังอังกฤษนั้น เรื่องราวของเจ้าชายวิลเลียม กลายเป็นประเด็นหลักของที่ประชุม โดยมีสมเด็จพระราชินีทรงร่วมประชุมด้วย
เป็นที่รู้กันดีว่า สมเด็จพระราชินี ไม่ค่อยปลื้ม “เคท มิดเดิลตัน” เท่าไหร่นัก ซึ่งไม่ใช่เหตุผลเรื่องสายเลือดหรือการที่เธอเป็นสามัญชนธรรมดา แต่สิ่งที่ทำให้สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษทรงไม่พอพระทัยมากที่สุด คือเรื่องที่เธอเปรียบเสมือนสายล่อฟ้าสำหรับพวกบรรดาเหยี่ยวข่าว โดยเฉพาะ ปาปาราซซี่มาสู่ราชวงศ์มากยิ่งขึ้น
เช่นเดียวกับกรณี เจ้าหญิงไดอาน่า นั่นเอง การมีข่าวปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ ในเรื่องของการปฏิบัติภารกิจนั้นเป็นเรื่องที่น่าพอพระทัย แต่การมีข่าวซุบซิบขึ้นแท็บลอยด์ด้วยภาพจากปาปาราซซี่นั้น เป็นสิ่งที่ทรงรับไม่ได้มากที่สุด
แต่เมื่อได้ตัดพระทัยให้เจ้าชายวิลเลียมคือกษัตริย์องค์ต่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และที่สำคัญคงไม่มีใครไปสะบั้นรักระหว่างเคทกับเจ้าชายวิลเลียมได้ ดังนั้น มติที่ออกมาจากสำนักพระราชวัง ที่นอกจากการเตรียมพิธีหมั้นของเจ้าชายรูปงามกับคนรักที่นอกจากพิธีแล้ว ว่ากันว่า สำนักข่าวโทรทัศน์บีบีซีถึงกับลงทุนผลิตรายการโทรทัศน์ ว่าด้วยเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าชายรูปงามกับพระคู่รักไว้ล่วงหน้าพร้อมเผยแพร่ออกอากาศได้ทันที ในค่ำคืนที่มีการประกาศหมั้นอย่างเป็นทางการ จากสำนักพระราชวังอังกฤษไว้แล้วด้วย
ดังนั้น มติที่ออกจากห้องประชุมสำนักพระราชวังอังกฤษครั้งล่าสุดก็คือ การเตรียมความพร้อมให้กับ “เคท มิดเดิลตัน” ที่จะต้องเรียนรู้ และร่วมเดินทางไปกับเจ้าชายวิลเลียมในการปฏิบัติภารกิจการกุศลและงานสังคมต่างๆ มากขึ้นนั่นเอง
อย่างไรก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เส้นทางเรื่องราวของราชวงศ์อังกฤษจากนี้ไป ที่มองแล้วราวกับพล็อตเรื่องของละคร จะดำเนินไปอย่างราบรื่นหรือไม่? หรือจะต้องมีเหตุการณ์ใดที่กระชากอารมณ์ผู้ติดตามเช่นเดียวกับละครอย่างไร?
