โดยปกติแล้วเรื่องราวของศิลปะกับธุรกิจมักจะเป็นเรื่องที่ถูกจัดไว้คนละขั้ว แต่สำหรับหน้าที่ของแบรนด์ แมเนจอร์ สินค้าแฟชั่นแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้กลับถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว เช่นเดียวกับตัวตนของทายาทสาวเบียร์สิงห์ “ปรีดิ์รติ ภิรมย์ภักดี” ที่ได้ก้าวออกจากถ้ำสิงห์ มาใช้ชีวิตสนุกกับงานที่ตัวเองชอบ ในตำแหน่งแบรนด์ แมเนเจอร์ ให้กับ ลา เพอร์ลา (La Perla) แบรนด์เสื้อผ้าและอันเดอร์แวร์สุดหรูจากอิตาลีหมาดๆ
ถ้าจะสำรวจถึงงานในฝันของผู้หญิงส่วนใหญ่ เชื่อได้ว่าการได้ดำรงตำแหน่งแบรนด์ แมเนเจอร์สินค้าแฟชั่นแบรนด์หรู นับเป็นอาชีพหนึ่งที่ไม่เคยตกสำรวจ ไม่น้อยหน้าอาชีพนางฟ้าอย่างแอร์โฮสเตส หรืออาชีพในสายการสื่อสารแต่อย่างไร เพราะการได้อยู่กับของสวยๆ งามๆ ดูหรูหรา ในแวดวงแฟชั่น พร้อมภาพลักษณ์การเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมน คนเก่ง
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจถ้าจะมีใครหลายคนอิจฉา “ปรีดิ์รติ ภิรมย์ภักดี” หรือ น้องเตย น้องสาวคนสุดท้องของสองหนุ่มเนื้อหอม “เต้-สันต์ และ ต็อด-ปิติ ภิรมย์ภักดี” ทายาทของ “สันติ ภิรมย์ภักดี” แห่งเบียร์สิงห์ เพราะด้วยวัยเพียง 26 ปี เธอสามารถก้าวมาคว้าตำแหน่ง แบรนด์ โคออร์ดิเนเตอร์ ของเสื้อผ้าแบรนด์หรูอย่าง ลา เพอร์ลา (La Perla) มาได้อย่างเต็มภาคภูมิ
“ตำแหน่งแบรนด์ แมเนเจอร์ หรือในบริษัทเตยมักจะเรียกกันว่า แบรนด์ โคออร์ดิเนเตอร์ มองภายนอกอาจจะดูสวยหรู แต่ที่จริงแล้วเป็นตำแหน่งที่ต้องทำงานหนัก คือเนื้องานอาจจะดูสนุก แต่ความรับผิดชอบเยอะมาก และต้องลุยงาน
อย่างเวลามีอีเวนต์หรือมีเซล เราก็จะต้องอยู่ดูแลทีมงาน ทั้งการขนของ เช็กสินค้า ฯลฯ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่มีใครเคยเห็น แต่ทุกคนจะเห็นเราตอนแต่งสวยออกงาน คนจะมาทำงานตำแหน่งนี้ต้องรับผิดชอบงานหนัก อย่าไปคาดหวังไว้เลิศหรู เพราะพอเข้ามาเจอความเป็นจริงอาจจะฝันสลายได้” ปรีดิ์รติ กล่าวถึงงานที่เธอรับผิดชอบ
แต่ถึงจะงานหนักอย่างไร ปรีดิ์รติก็มีความสุขกับอาชีพนี้ เพราะเป็นสิ่งที่เธอชอบ และเหมาะกับตัวเธอเป็นอย่างดี เพราะมีการผสมผสานความงานด้านการตลาดและศิลปะแฟชั่น ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เธอชื่นชอบและศึกษามาเป็นอย่างดี หลังเรียนจบปริญญาตรี ทางด้านไฟน์ อาร์ต มาจากมหาวิทยาลัยเปปเปอร์ไดน์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะกลับมาคว้าปริญญาโท ทางด้านการบริหารธุรกิจ ที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจแห่งศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“เตยเป็นคนชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนเข้ามหาวิทยาลัยยังเกือบตัดสินใจเข้า อาร์ต คอลเลจ เรียนศิลปะอย่างเดียวเลย แต่คุณพ่อท่านได้ท้วงไว้ว่าอยากให้เรามองอะไรให้กว้าง เรียนรู้งานด้านอื่นบ้าง จึงมาลงตัวด้วยการเรียนที่เปเปอร์ไดน์ เพราะได้เรียนสาขาที่อยากเรียน นั่นคือ ศิลปะ
แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยังได้เรียนหลักสูตรพื้นฐานวิชาการแขนงต่างๆ ด้วย ทำให้มีที่เรียนหลากหลายสาขาวิชา ไม่ได้ตีวงแคบอยู่เฉพาะศิลปะเท่านั้น ซึ่งต้องขอบคุณคุณพ่อที่มองการณ์ไกล เพราะพอเริ่มโตขึ้นเราจะเห็นด้วยกับความคิดท่าน ถ้าเรียนศิลปะอย่างเดียว กลับมาเมืองไทยคงหางานทำยาก เนื่องจากคนไทยไม่ค่อยนิยมเสพศิลป์
พอเรียนต่อปริญญาโท เตยก็เลยเลือกทางด้านการบริหารธุรกิจ ซึ่งเหมือนเป็นการเติมเต็มประสบการณ์เรา หลังจากมีความรู้เรื่องศิลปะมาแล้ว ก็ได้มาเรียนรู้ในอีกศาสตร์หนึ่ง เตยเชื่อว่าการเรียนอย่างอื่นมาก่อนเรียนด้านบริหารธุรกิจ เป็นเรื่องที่ดี เพราะถ้ามุ่งเรียนแต่บริหารธุรกิจอย่างเดียว ก็คงไม่มีมุมมองด้านอื่นๆ”
หลังจากเรียนจบได้ไม่นาน เธอได้มีโอกาสใช้ความรู้ทั้งสองด้านที่เธอศึกษามาอย่างเต็มที่ ด้วยการเข้ามาทำงานบริหารแบรนด์สินค้าแฟชั่นอย่า ลา เพอร์ลา
“เตยสนใจเรื่องแฟชั่นอยู่แล้ว พอมาได้มาทำงานนี้จึงรู้สึกว่าชอบ เหมาะกับตัวเอง ได้นำเอาเรื่องของศิลปะแฟชั่นมาผสมผสานเข้ากับการทำธุรกิจ เพราะสิ่งที่แบรนด์ โคออร์ดิเนเตอร์ต้องรับผิดชอบ มีทั้งเรื่องของการบริหาร การดูแลพนักงาน ดูยอดขาย ดูแลลูกค้า ไปจนถึงการเลือกซื้อสินค้าใหม่เข้าร้าน เป็นบายเยอร์ดูเรื่องการตกแต่ง และดิสเพลย์ภายในร้าน....
สิ่งเหล่านี้ทุกอย่างรวมกันเป็นแบรนด์ เราต้องดูทั้งหมด ถึงแม้ว่าบางส่วนจะมีคนอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่เราก็ควรจะรู้ไว้ เพราะเราต้องมีความรู้เป็นอย่างดีถึงแบรนด์สินค้า เข้าใจตลาดและลูกค้า เราจึงจะสามารถบริหารงานได้อย่างประสบความสำเร็จ”
ในโลกของแฟชั่นมีแบรนด์มากมาย ซึ่งปรีดิ์รติได้มีโอกาสที่จะเลือกทำถึง 3 แบรนด์ นั่นคือ เบอร์เบอรี่ (Burberry) เอสคาด้า (Escada) และลา เพอร์ลา ซึ่งเธอตัดสินใจเลือกแบรนด์หลังสุด เพราะเธอบอกว่า มันแสดงถึงความเป็นตัวตนของเธอได้ดีที่สุด
“ลา เพอร์ลา ผลิตทั้งชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ และเสื้อผ้าทั่วไป อาจจะดูราคาสูงแต่พอได้ใช้จะเข้าใจ เพราะเขาใช้วัสดุคุณภาพเยี่ยม สวมใส่สบาย และเหมาะกับสาวทั่วโลก ที่มีทั้งคุณภาพ ดีไซน์และความคงทน ด้วยหัวใจหลักที่เขาไม่ได้มองว่าชุดชั้นในเป็นแค่เครื่องแต่งกายที่แต่งอยู่ข้างใน แต่มันคือเครื่องประดับเรือนร่างชิ้นหนึ่ง และช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจให้กับผู้สวมใส่ได้
แบรนด์นี้มีคาแรกเตอร์คล้ายคลึงกับเตย ตรงความเป็นเฟมินิน แต่มีหลากหลายสไตล์ ทั้งหวาน เปรี้ยว เซ็กซี่ สปอร์ต ฯลฯ ตัวเตยเองก็เป็นคนมีหลายสไตล์ บางวันก็เป็นสาวหวานใส่กระโปรง บางวันก็อยากเปรี้ยว หรือบางทีก็สบายๆ ด้วยเสื้อกล้าม กางเกงยีนส์ แล้วแต่โอกาส”
อีกประเด็นที่เธอเลือกทำแบรนด์นี้ เพราะเธอเห็นแนวโน้มการเติบโตของแบรนด์ “ถ้าจะพูดไป ลา เพอร์ลา เป็นแบรนด์เล็กๆ สำหรับคนไทย บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้จักแบรนด์นี้ดี ซึ่งมันน่าสนุกในการทำงาน เพราะมันยังมีพื้นที่ในการเติบโตของแบรนด์อีกเยอะ แล้วเปิดโอกาสให้เราทำอะไรได้มากมาย ทำให้แบรนด์ค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับเรา ซึ่งต่างกับการทำงานแบรนด์ใหญ่ที่เป็นภาระหนักให้เราต้องสานต่อ ไม่มีอิสระ แต่ 1 ปี ที่เตยทำกับ ลา เพอร์ลา เริ่มมีคนรู้จักมากขึ้น จนเปรียบเสมือนความสำเร็จของเราด้วย”
ตอนนี้ปรีดิ์รติกำลังสนุกสนานกับการผสมผสานความชอบอย่างศิลปะ บวกกับการเป็นสายเลือดนักธุรกิจ สร้าง ลา เพอร์ลา ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปด้วยในตัว โดยเธอตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้ว่า อยากเป็นผู้นำเข้าสินค้าแบรนด์ดังด้วยตัวเอง ดังนั้น งานที่ทำอยู่ตอนนี้จึงเป็นบันไดแห่งประสบการณ์ในการสานฝันให้เป็นจริงได้อย่างดี
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
“อยากเป็นแบรนด์ แมเนเจอร์ ที่ประสบความสำเร็จ อันดับแรก คือ ต้องรักในแบรนด์ รักในงานที่ทำ เราถึงสามารถทำงานได้อย่างมีความสุข และผลงานออกมาดี นอกจากนี้ เราต้องผูกพัน และเข้าใจในแบรนด์ให้มากที่สุด พร้อมทั้งต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเองอยู่ตลอด เพราะความรู้ไม่เคยมีคำว่าพอ และแฟชั่นก็ไม่มีวันหยุดนิ่ง เราต้องอัปเดตตัวเองตลอดเวลา
และสิ่งสำคัญที่สุด ต้องตั้งใจทำงานเหมือนเราเป็นเจ้าของ อย่าทำเหมือนเราเป็นแค่ลูกจ้าง หรือทำงานหวังเพียงค่าจ้าง เพราะถ้าเราคิดเหมือนเจ้าของแบรนด์ เราก็ต้องอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับแบรนด์ของเราเสมอ”
นางแบบ :: ปรีดิ์รติ ภิรมย์ภักดี
เสื้อผ้า :: La Perla คอลเลกชั่นฤดูใบไม้ผลิ-ฤดูร้อน 2009 มีจำหน่ายที่ ชั้น 1 ศูนย์การค้าเกษร โทรศัพท์ 0-2656-1790
แต่งหน้า :: ภาณุ สมสกุล จากเครื่องสำอางชู อูเอมูระ (Shu Uemura) โทรศัพท์ 0-2684-3000
ช่างภาพ & สไตลิสต์ :: จิน ธรรมโชติ
บรรณาธิการแฟชั่น :: ไซม่อน พี