ไม่มีใครเลยที่จะปฏิเสธว่า มาร์ธา สจ๊วต คือหนึ่งในผู้หญิงแถวหน้าผู้ทรงอิทธิพลที่สุด สำหรับแม่บ้านอเมริกันส่วนใหญ่ โดยที่เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจากรายการโทรทัศน์ของเธอมาเกือบ 10 ปี
รายการโทรทัศน์ The Martha Stewart Show ของเธอกลายเป็นรายการที่มีผู้ติดตามมากที่สุดตั้งแต่ปี 2001 และเป็นรายการที่ทำให้ไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงอเมริกันเปลี่ยนไปจากอิทธิพลของสารพันความรู้ที่เป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่ได้มาจากรายการที่เธอบรรจุความรู้ ทั้งเรื่องของการจัดบ้าน การตระเตรียมอาหาร การแต่งเนื้อแต่งตัว ไปจนถึงความรู้จิปาถะในเรื่องของการประดิษฐ์สิ่งของง่ายๆ ในบ้าน การจัดดอกไม้ให้บ้านน่าอยู่ ไปจนถึงการจัดสวนให้เป็นทั้งสวนไม้ประดับและมุมสงบของบ้าน และการกำจัดสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว ด้วยการนำเอามาทำเสียใหม่ให้ดูดี หรือวิธีการดัดแปลงในการนำกลับมาใช้ในรูปแบบของใหม่ กลายเป็นสิ่งจูงใจให้แฟนพันธุ์แท้ของเธอ ใจจดใจจ่อในรายการตอนต่อไปตลอดเวลา
หลังจากคดีปกปิดข้อมูลและแจ้งเท็จต่อตลาดหลักทรัพย์ในปี 2004 ทำให้เธอถูกพิพากษาจำคุกเสีย 5 เดือนเต็มๆ ระหว่างปี 2004-2005 และใครๆ ก็คิดว่าความนิยมของสังคมอเมริกันในตัวเธอจะลดลง ในช่วงที่เธอหายไป แต่ด้วยความสามารถที่ยากจะหาใครมาเทียบ ทำให้รายการโทรทัศน์ของ มาร์ธา สจ๊วต กลับมาเป็นที่นิยม และดูเหมือนจะมากขึ้นอีกด้วยซ้ำ เธอจึงกลับมายืนอยู่บนแถวหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ในปีล่าสุด เธอก็กลับมาครองตำแหน่ง นักธุรกิจสตรีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ไม่ได้แพ้ โอปราห์ วินฟรี พิธีกรหญิงอมตะ หรือ มาการ์เร็ต วิทแมน แห่ง e-bay เลยแม้แต่น้อย เธอได้กลายเป็นไอคอนสำหรับสาวอเมริกันยุคใหม่ ที่มีศรัทธาในตัวเธออย่างล้นเหลือ จากรายการโทรทัศน์ของเธอ ได้ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นรายการโทรทัศน์ หนังสือความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับบ้าน อาหาร ต้นไม้ และไลฟ์สไตล์ กลายเป็นสินค้าที่ขายดิบขายดีไปเสียทุกอย่าง จนเธอกลับมาสู่ฐานะที่สุดแสนจะมั่งคั่ง ด้วยธุรกิจมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เธอเริ่มกลับมาทรงตัวได้ตั้งแต่ปี 2006
“I’m a brand” คือคำกล่าวอย่างมั่นใจในตัวเอง ว่าชื่อของเธอคือชื่อของสินค้าทุกชนิด หมายความว่าถ้าสินค้าชนิดใดที่มีชื่อของเธอประทับอยู่ นั่นย่อมหมายถึงการการันตี ว่าเป็นสินค้าคุณภาพแน่นอน และยิ่งเมื่อเสริมด้วยคำสัมภาษณ์สั้นๆ เกี่ยวกับตัวเธอว่า “งานคือชีวิตของดิฉัน และชีวิตของดิฉันก็คืองาน ดิฉันมีความสุขที่จะได้ทำงานตลอดเวลา ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมงก็ได้ เพราะนั่นคือความสุขที่แท้จริง” ยิ่งเป็นคำกล่าวที่ทำให้สังคมอเมริกันที่ชื่นชมในผู้หญิงเก่ง ยิ่งเพิ่มความชื่นชมในตัวเธอขึ้นอีกอักโข
3ปีก่อนหน้านี้ บริษัท Martha Stewart Living Omnimedia ของเธอได้สร้างปรากฏการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้กับวงการไวน์ในอเมริกา ด้วยการเข้าร่วมหุ้นกับบริษัทค้าไวน์ E&J Gallo Winery ที่จะผลิตไวน์และใช้ชื่อว่า Martha Stewart Vintage ที่จำหน่ายในเมืองใหญ่ๆ 6 เมือง และจำหน่ายในราคาเพียงขวดละ 15 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นไวน์เพียง 3 ชนิดคือ ชาร์ดอนเนย์ คาบาร์เนต์ โซวิญญอง และแมร์โลต์ สามารถสร้างยอดจำหน่ายได้ถึง 15,000 ลัง
นอกจากนั้น เธอยังเซ็นสัญญาเป็นผู้ผลิตอาหารสดและอาหารแช่แข็ง ให้กับ Coastco Wholesale Corp ภายใต้ตรา Kirkland Signature อีกด้วย ซึ่งก็กลายเป็นสินค้าที่ขายดิบขายดีสร้างรายได้อย่างงดงาม
เธอทำให้ทุกคนยอมรับว่า ประโยคสั้นๆ ที่เธอบอกกับตัวเองมาตลอดว่า “I’m a brand” นั้น ได้พิสูจน์ว่าเธอทำได้จริง อย่างไร้ข้อสงสัย