xs
xsm
sm
md
lg

สุดหทัย เมทะนี หมุนอดีตสู่ปัจจุบัน ยุคสมัยคุณพ่อเฟื่องฟู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เห็นภาพของสาวหน้าไทยคนนี้แล้ว อาจทำให้หวนระลึกถึงวันวานสมัยช่อง 4 บางขุนพรหม หรือดาราสมัยยุคคุณแม่เฟื่องฟู ซึ่งสาวหน้าคมที่มีความงามในแบบฉบับไทยๆ คนนี้ เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของพระเอกตลอดกาล “สมบัติ เมทะนี” และคุณแม่แสนสวย “กาญจนา เมทะนี” นาม “น้องเอ๋ย-สุดหทัย เมทะนี” ที่ครั้งแรกเรารู้จักเธอจากการเปิดตัวในงานเดบูตอง แต่วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของเธอถึงแนวคิดบางอย่างที่เธอมีเหมือนสมัยยุคคุณพ่อเฟื่องฟู ทั้งเรื่องแนวคิด แฟชั่นการแต่งตัว และไลฟ์สไตล์

ปัจจุบันน้องเอ๋ยเรียนอยู่ชั้นปี 4 คณะดุริยางคศาสตร์ เอกขับร้อง มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่กว่าที่จะฝ่าฝันเรียนมาจนเกือบจะจบนั้นเธอเล่าให้เราฟังว่า...ต้องสู้! พอสมควร ตั้งแต่ตอนที่สอบจนสอบได้เข้ามาเรียน เพราะเธอไม่ได้มีพื้นฐานด้านดนตรีมาก่อน แต่อาศัยความชอบผสมความอยากเท่านั้น!

“เอ๋ยไม่เคยเรียนร้องเพลงมาก่อน แล้วเพิ่งติวร้องเพลงสองสัปดาห์ก่อนสอบ พี่ชายยังแซวเลยว่าสอบไม่ได้หรอก ตอนนั้นก็คิดว่าถ้าสอบไม่ได้ก็จะยอมดร็อป 1 ปี แล้วค่อยไปสอบใหม่ เพราะอยากเรียนคณะนี้มาก แต่สุดท้ายก็สอบได้

วิชาเอกที่เรียนคือขับร้องเพลงคลาสสิก ซึ่งการเรียนร้องเพลงคลาสสิกเป็นศาสตร์ที่ยากมาก เพลงคลาสสิกเป็นเพลงที่ฟังแล้วให้ความสงบ โดยเหตุผลที่เลือกเรียนเพราะเห็นว่าน่าสนใจ แต่พอเข้าไปเรียนจริงๆ แล้วยากกว่าที่คิด เพราะต้องมีเรียนทฤษฎี และปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน

และด้วยความที่เราไม่ได้มีพื้นฐานจึงต้องไปเริ่มต้นใหม่ ซึ่งอาจไม่เก่งเท่าเพื่อน จนโดนอาจารย์ปรามาศบ้าง แต่เราก็พยายามถามอาจารย์ และเข้าหาเพื่อนที่เรียนเก่งๆ ให้เขาติวให้ จนสอบได้รองท็อปของรุ่น เป็นการพิสูจน์ให้อาจารย์เห็นว่าเราทำได้ จากนั้นก็ผ่านมาเรื่อยๆ ตอนนี้ใกล้จะจบแล้วต้องเตรียมทำ Special Concert เป็นโปรเจ็กต์ก่อนจบที่เราต้องร้องเพลงคนเดียว 50 นาที ซึ่งต้องฝึกหนักพอสมควร

ส่วนนักร้องที่เป็นไอดอลในการร้องเพลงคลาสสิก คือ Diana Damrau เป็นนักร้องคลาสสิกที่ชอบมาก ชอบตรงที่ทุกอย่างของเขาไม่ว่าจะเป็นหน้าตา การแสดงออก น้ำเสียง รวมแล้วเขาดูเฟอร์เฟกต์ที่สุด จึงฝันอยากเป็นอย่างเขาค่ะ”


ครอบครัวตัวอย่าง
นอกจากจะมีคุณพ่อเป็นพระเอกตัวจริงแล้ว หลายครั้งครอบครัวของน้องเอ๋ยจึงถูกเลือกให้เป็นครอบครัวตัวอย่าง เพราะเป็นครอบครัวที่น่ารัก ทุกคนในครอบครัวไม่เคยประพฤติเรื่องเสื่อมเสีย
ครอบครัวของน้องเอ๋ยประกอบด้วยคุณพ่อสมบัติ คุณแม่กาญจนา และพี่ชายอีก 4 คนประกอบด้วย อั๋น-สิรคุปต์ อั้ม-เกียรติศักดิ์ เอ้-ศตวรรษ เมทะนี และอุ้ม-พรรษวุฒิ เมทะนี โดยมีน้องเอ๋ยเป็นผู้หญิงคนสุดท้อง ดังนั้น น้องเอ๋ยจึงเติบโตท่ามกลางการดูแลของพี่ชาย 4 คน ซึ่งแต่ละคนก็มีวิธีเทกแคร์น้องสาวคนเล็กนี้แตกต่างกันไป

“ตอนเด็กๆ พี่อั๋นจะพาไปซื้อของเล่น เพราะว่าเอ๋ยห่างจากเขา 19 ปี คนคงคิดว่าเป็นลูก (หัวเราะ) พี่อั้มก็จะคุยกันที่บ้าน คนที่สนิทสุดก็คือพี่เอ้ เพราะว่านิสัยคล้ายกันที่สุด ชอบอะไรเหมือนกัน มีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน ส่วนพี่อุ้มถ้าเป็นตอนเด็กๆ จะไม่ถูกกัน เขาชอบเล่นกับเอ๋ยแรงๆ แต่นั่นคือ การแสดงความรักกับเรา โตขึ้นก็เข้าใจ อยู่กับพี่ชายมากเอ๋ยเลยออกจะห้าวๆ หน่อย อยากเรียนมวยไทย อยากเรียนตีกลอง ซึ่งคุณพ่อก็ตามใจปล่อยให้เลือกทำกิจกรรมอิสระ แต่มีคุณแม่คอยเจียรไนให้เราหวาน อยากให้ใส่กระโปรง เพราะคุณแม่เป็นผู้หญิงไทยสมัยก่อนที่ทุกอย่างต้องเป็นกุลสตรี อบรมเรื่องกิริยามารยาท โดยการพูดจาต้องไพเราะ”

สาวห่าม...ไม่ใช่ผ้าพับไว้
อาจเป็นเพราะการที่เติบโตมาท่ามกลางพี่ชาย 4 คน ฉะนั้น สไตล์ของเธออาจจะไม่ได้เรียบร้อย หวานแหววสักเท่าไหร่ แถมเธอยังบอกกับเราว่า ออกจะเป็นแนว “ห่าม” ด้วยซ้ำไป!

“ตอนเด็กๆ ห้าวมาก แทบจะต่อยกับเพื่อนผู้ชายเลย พอเข้าเรียนชั้นมัธยม เราเริ่มเป็นผู้หญิงมากขึ้น เริ่มกลัวเสียโฉม ทุกวันนี้เพื่อนส่วนใหญ่ก็มีแต่ผู้ชาย เพื่อนสนิทที่เป็นผู้หญิงมีน้อยมาก ที่จริงแล้วเอ๋ยออกจะเป็นคนห้าวๆ นะ พูดจาขวานผ่าซาก ถ้าคนไม่รู้จักจะคิดว่าเราพูดจาไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่ เป็นคนง่ายๆ อะไรก็ได้ ไม่จู้จี้จุกจิก
เป็นคนสนุกสนานนะให้ทำอะไรที่เป็นผู้หญิงมากๆ เอ๋ยจะเขิน แต่ถ้าให้ทำอะไรบ้าๆ บอๆ หรือเต้นสนุกสนานอันนั้นกลับชอบมากกว่า (หัวเราะ)

ชีวิตการเป็นเด็กมหาวิทยาลัยก็ไม่มีอะไรมาก ส่วนใหญ่จะเป็นวัยที่ติดเพื่อนมากกว่า ชอบไปเที่ยวกับเพื่อน เลิกเรียนก็นั่งคุยกัน ชอบดูหนัง ชอปปิ้งบ้าง แล้วก็ชอบไปจตุจักรทุกอาทิตย์เลย ไปเพื่อเจอเพื่อนนั่งทานขนมแล้วก็คุยกัน”

สิ่งหนึ่งที่คนอาจจะมองว่าขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นสาวมีสไตล์ในการแต่งตัว มั่นใจของเธอก็คือ ความจริงแล้วเธอเป็นสาวรักความสงบไม่ได้หลงไปกับแสงสีเท่าไหร่นัก

“เอ๋ยชอบแต่งตัว แล้วสไตล์การแต่งตัวก็ไม่ได้ตายตัว เน้นไม่ค่อยเหมือนใคร บางวันก็ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ บางวันก็ใส่เดรส บางวันก็ใส่เสื้อกล้าม สวมรองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบ คัชชู หรือส้นสูง...ได้หมด ส่วนมากจะเป็นโทนสีเข้มๆ มากกว่า ตรงนี้อาจจะทำให้คนมองว่าเราเป็นคน...แรง! แต่นั่นก็เป็นแค่เปลือกนอกในการแต่งตัวเท่านั้น ความจริงเอ๋ยชอบอยู่แบบชิวๆ สบายๆ ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ไม่ชอบไปผับที่คนเขาชอบไปหาแฟนกัน ไปเต้นๆ ยั่วๆ อันนั้นไม่ใช่เราเลย ชอบนั่งฟังเพลงมากกว่า อาจเป็นเพราะเราเรียนร้องเพลงด้วยมั้ง ก็เลยอยากไปนั่งฟังคนร้องเพลงอื่นบ้างเพื่อมาประยุกต์กับตัวเรา”


สมบัติล้ำค่าของ “สมบัติ”
เรียกได้ว่าเธอเป็นลูกสาวคนสนิทของคุณพ่อสมบัติ เมทะนี เลยก็ว่าได้ เพราะหลายๆ เรื่องของเธอ รวมถึงหลายๆ เรื่องของคุณพ่อจะต้องมีการแลกเปลี่ยนกันเสมอ ในฐานะลูกสาวที่ใกล้ชิดเธอจึงมีเรื่องน่ารักๆ กับคุณพ่อมาเล่าให้ฟัง

“คุณพ่อเป็นคนอารมณ์ดี ที่จริงถ้าไปเอาดีทางด้านตลกก็น่าจะดี (หัวเราะ) แต่บังเอิญคุณพ่อหล่อเลยได้เป็นพระเอก (น้ำเสียงภูมิใจมาก) เอ๋ยเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณพ่อ ท่านก็หวงนะ แต่ไม่ใช่เหมือนหนังในโทรทัศน์ที่เป็นคุณพ่อที่ดุๆ ไว้หนวด เอาปืนมาไล่ยิงหนุ่มๆ ที่มาจีบ แต่เป็นลักษณะของความห่วงมากกว่า อย่างบางทีใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น คุณพ่อก็จะทัก “โป๊ไปมั๊ยลูก!?” หรือเวลากลับบ้านดึกก็จะต้องให้คนไปคอย คุณพ่อจะห่วงในเรื่องความปลอดภัยมากกว่าไม่ว่าเราจะโตแค่ไหนก็ตาม”

เมื่อคุณพ่อเป็นคนที่มีชื่อเสียง แน่นอนว่าลูกสาวก็ย่อมต้องเป็นที่ถูกจับตามองไปด้วย มีหลายครั้งที่ถูกทักว่าเป็นลูกสาวสมบัติ เมทะนี ซึ่งตรงนี้เองนอกจากความภูมิใจในการเป็นลูกพระเอกตลอดกาลแล้ว บางครั้งก็ทำให้เธออึดอัดได้เหมือนกัน

“เอ๋ยคิดว่าสังคมไทยด้วยความที่ว่าคนที่มีชื่อเสียงจะต้องเป็นที่ถูกจับตามอง ขนาดเราเป็นคนในครอบครัวของคนมีชื่อเสียงยังถูกจับตามองเลย ซึ่งสังคมไทยถ้าเราทำอะไรแย่ เขาก็จะมองไปถึงคุณพ่อคุณแม่ เลยทำให้วางตัวลำบาก แค่ลุคการแต่งตัว และตัวเองก็ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก คนเขาเห็นก็อาจจะคิดว่าเราแรง แต่เราไม่เคยทำอะไรเสียหาย ไม่เคยทำให้คนอื่นเดือดร้อน บางคนไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่เขาอาจจะเป็นคนไม่ดีก็ได้ เช่น โกงกินหรือใส่ร้ายคนอื่น คนไทยชอบมองกันที่รูปลักษณ์ภายนอกมากกว่าที่จะมองลึกลงไปว่าแก่นแท้ของคนคนนั้นเป็นอย่างไร

สำหรับเอ๋ยจะทำอะไรคิดถึงพ่อแม่ตลอดเวลา เราไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ ขอแค่คนในครอบครัวเราเข้าใจก็พอ เอ๋ยอาจจะไม่ใช่คนเรียบร้อยนัก แต่ว่าเรามีกรอบของเราที่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ที่จริงเรามีแผนในอนาคตที่วางไว้ แต่ก็ต้องดูก่อน ที่ตั้งใจคือหลังเรียนจบแล้วอยากจะอยู่เมืองไทยสัก 2 ปี แล้วไปต่างประเทศเพื่อเรียนเพิ่มเติม แล้วก็ทำงานเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการร้องเพลงด้วย เพราะว่าดนตรีคลาสสิกถ้าอยากได้ดีอาจต้องไปศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ เพราะเมืองไทยยังไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ แต่เอ๋ยก็เป็นห่วงพ่อแม่เหมือนกัน อยากดูแลและตอบแทนท่านที่ลำบากเลี้ยงดูเรามาจนโต”

นี่แหละคือสาวน้อยทายาทพระเอกตลอดกาล ผู้ที่กำลังใช้ชีวิตอยู่ตรงกลางระหว่างความคลาสสิกจากการเลี้ยงดูอบรมของวัฒนธรรมไทยและความทันสมัยของยุคสมัยปัจจุบัน แต่เธอก็ยังสามารถอยู่ในกรอบที่ตัวเองกำหนดไว้ แต่ในขณะเดียวกันกรอบนั้นก็พร้อมที่จะปรับเข้ากับยุคสมัยตลอดเวลา!

กำลังโหลดความคิดเห็น