iPad Air M2 และ iPad Pro M4 จะเตรียมจัดส่งให้แก่ผู้ที่สั่งจองล่วงหน้า และวางจำหน่ายที่หน้าร้านค้าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 นี้ โดยทั้ง 2 รุ่นนี้การเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างที่สำคัญ บทความนี้พาไปแกะกล่อง พร้อมทำความรู้จักแท็บเล็ต 2 รุ่นใหม่นี้ไปพร้อมกัน
อ่านประกอบ : เก็บตก iPad Pro เริ่มยุคใหม่ของ iPad
จุดสนใจหลักของหลายคนน่าจะอยู่ที่ iPad Air M2 ที่ในรอบนี้มีตัวเลือกขนาดหน้าจอทั้ง 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว เปิดทางให้ผู้ใช้งานแท็บเล็ตมาตอบสนองการใช้งานทั่วไป ได้มีตัวเลือกแท็บเล็ตจอใหญ่ ที่ไม่ต้องข้ามไปซื้อ iPad Pro ทำให้ iPad Air M2 รุ่น 13 นิ้ว จะกลายเป็น iPad ที่ตอบโจทย์ใครหลายๆ คน
iPad Air M2 ในรอบนี้ยังคงมากับ TouchID บริเวณปุ่มเปิดเครื่องเช่นเดิม หน้าจอยังคงใช้ Liquid Retina ที่ให้อัตราการแสดงผลหน้าจอ Refresh Rate 60 Hz เท่านั้น ภายในกล่องมีอะแดปเตอร์ 20W มาให้ พร้อมสาย USB-C แบบถัก
ตัวเครื่องสีฟ้าที่ให้มาจะเป็นโทนสีฟ้าอ่อนๆ ที่เมื่อตกกระทบแสงในบางมุมแล้วคล้ายสีเงิน ในขณะที่รอบนี้จะมีตัวเลือกสีอย่างสเปซเกรย์ สตาร์ทไลท์ และม่วง มาให้ด้วย นับว่าเป็นการเพิ่มสีสันให้ iPad Air M2 ในโทนเบาๆ
การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ของ iPad Air M2 นอกจากขนาดหน้าจอ คือการย้ายกล้องหน้ามาอยู่ในแนวนอนแทน ทำให้เวลาใช้งานวิดีโอคอลสามารถใช้หน้าจอแนวนอนแทนได้แล้ว จากเดิมที่กล้องจะอยู่ขอบบนเวลาตั้งเครื่องใช้งาน
ภายในของ iPad Air M2 เป็นอีกจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมาใช้ชิป Apple M2 ที่ให้ประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกใช้งานใน iPad Pro M2 มาก่อนแล้ว จึงมั่นใจในแง่ของการใช้งานที่ครอบคลุมได้
ในภาพรวมการวางจำหน่าย iPad Air M2 รุ่นหน้าจอ 11 นิ้ว เริ่มต้น 23,900 บาท ซึ่งเป็นราคาเดิมกับ iPad Air M1 แต่ให้ความจุเพิ่มขึ้นจากเดิมเริ่มที่ 64 GB มาเป็น 128 GB แทน ส่วนรุ่นหน้าจอ 13 นิ้ว เริ่มต้น 29,900 บาท ซึ่งแต่เดิมถ้าอยากได้ iPad หน้าจอขนาดใหญ่ จะต้องใช้งบเกือบ 5 หมื่นบาท
ดังนั้น iPad Air M2 จะกลายเป็นแท็บเล็ตที่ตอบโจทย์การใช้งานของใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่กำลังรอเปลี่ยนแท็บเล็ตรุ่นใหม่ หลังจากใช้มาต่อเนื่องหลายปี เพราะจากผลสำรวจที่ผ่านมา พบว่าผู้ใช้งานแท็บเล็ตจะใช้งานต่อเนื่องราว 4-5 ปี ก่อนเปลี่ยนรุ่นใหม่
กลับมาที่ไฮไลต์สำหรับสายโปรที่ต้องการเทคโนโลยีที่สุดในทุกด้านบนแท็บเล็ต อย่าง iPad Pro M4 รอบนี้มีขนาดหน้าจอให้เลือก 11 นิ้ว และ 13 นิ้ว ปรับขึ้นมาจากเดิม 12.9 นิ้ว พร้อมกับการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ ที่ตัวเครื่องบางลงเหลือ 5.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 579 กรัม
จุดเด่นหลักของ iPad Pro M4 คือหน้าจอ Ultra Retina XDR ที่ใช้เทคโนโลยี Tandem OLED ช่วยเพิ่มความสว่างของหน้าจอปกติที่ 1000 nits และสูงสุดที่ 1600 nits แสดงผลแบบ ProMotion 120 Hz พร้อมมีตัวเลือกเคลือบสารลดการสะท้อน (Nano-texture) ให้ผู้ที่ต้องการด้วย
ในแง่ของการทำงาน iPad Pro รุ่นใหม่มากับชิป Apple M4 โดยมี 2 รุ่นย่อยขึ้นกับขนาดพื้นที่เก็บข้อมูล ในรุ่น 256/512 GB จะมากับซีพียู 9 คอร์ จีพียู 10 คอร์ RAM 8 GB ขณะที่รุ่น 1/2TB จะเป็นชิปซีพียู 10 คอร์ จีพียู 10 คอร์ RAM 16 GB
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกอย่างใน iPad Pro M4 คือเรื่องของกล้องหลักที่ลดลงมาเหลือเลนส์เดียว 12 ล้านพิกเซล และ LiDAR Scanner แทน จากเดิมที่ใช้เป็นกล้องคู่ โดยทางแอปเปิลให้เหตุผลว่าด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันกล้องระยะเดียวเพียงพอกับการใช้งานใน iPad แล้ว และมีการปรับกล้องหน้า FaceID มาอยู่ในแนวนอนเช่นเดียวกัน
สำหรับการเชื่อมต่อทั้ง iPad Air M2 และ iPad Pro M4 รองรับ WiFi 6E บลูทูธ 5.3 และในรุ่น Cellular รองรับการเชื่อมต่อ 5G แบบ eSIM นับว่าให้มารองรับการใช้งานต่อเนื่องในอนาคตอยู่แล้ว
ราคาจำหน่ายของ iPad Pro M4 เริ่มต้นที่ 39,900 บาท ในรุ่น 11 นิ้ว และ 52,900 บาท ในรุ่น 13 นิ้ว ทำให้ในปีนี้ถ้าเลือก iPad Pro 13 นิ้วรุ่นท็อปสุด 2TB พร้อมกระจกผิวนาโน ในรุ่น Cellular ราคาจะทะลุไปถึง 104,900 บาท เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม iPad Pro M4 นับเป็นสินค้าที่มีกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะตัว ที่ต้องการเทคโนโลยีการแสดงผลขั้นสูง การประมวลผลที่รวดเร็ว เน้นกลุ่มผู้ใช้งานมืออาชีพเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าผู้ใช้ในกลุ่มนี้จะสามารถสร้างรายได้จากการนำอุปกรณ์ไปใช้งานได้คุ้มกับค่าตัวเครื่องที่เสียไปอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องของอุปกรณ์เสริม ทั้ง iPad Pro M4 และ Air M2 ต้องใช้งานคู่กับ Apple Pencil Pro ที่ออกมาใหม่ และไม่สามารถใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ได้ เพราะมีการปรับตำแหน่งของแม่เหล็กในการเชื่อมต่อ และชาร์จ เป็นผลจากการปรับดีไซน์ตัวเครื่อง
เช่นเดียวกับการที่ iPad Pro M4 ไม่สามารถใช้งาน Magic Keyboard รุ่นเดิมได้ เพราะตัวเครื่องบางลง ทำให้ต้องซื้อคู่กับ Magic Keyboard ใหม่ที่ปรับดีไซน์ให้บางลง นำวัสดุอะลูมิเนียมมาใช้งาน ส่วน Magic Keyboard เดิมสามารถนำไปใช้งานร่วมกับ iPad Air M2 แทนได้