xs
xsm
sm
md
lg

Review รีวิวสินค้าไอที สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก

x

Review : iPhone 15 Pro | 15 Pro Max ไทเทเนียม พร้อมกล้องซูม 5x

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การเปลี่ยนแปลงของ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max นอกเหนือจากวัสดุใหม่ที่ปรับมาใช้งานไทเทเนียมแล้ว ภายในอีกหลายๆ ส่วนก็ได้ปรับปรุงให้ตัวเครื่องน่าใช้งานมากขึ้น สมกับศักดิ์ศรีของการเป็นสมาร์ทโฟนระดับแฟลกชิปในตลาดที่มีโอกาสขายดีที่สุดต่อเนื่อง

ทั้งกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ที่ปรับปรุงใหม่ให้เก็บรายละเอียดได้มากขึ้น การซูมแบบออปติคัลสูงสุดที่ 5x ในรุ่น 15 Pro Max (15 Pro ซูม 3x เท่าเดิม) พร้อมกับตัวเครื่องที่น้ำหนักเบาลง และพอร์ต USB-C ทำให้กลายเป็นว่า 15 Pro และ 15 Pro Max ในปีนี้น่าใช้มากขึ้นด้วย

ข้อดี
จอ Super Retina XDR พร้อม ProMotion 120 Hz และ Always-On
วัสดุไทเทเนียม ที่ตัวเครื่องดูแข็งแรงมากขึ้น ช่วยให้น้ำหนักเบาลง
กล้องหลัก 48 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพนิ่ง ProRAW วิดีโอ ProRes 4K60fps
พอร์ต USB-C 3 เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้ง่ายขึ้น
Apple A17 Pro แรงขึ้น จัดการความร้อนดี กราฟิกแรงรองรับเกม AAA

ข้อสังเกต
ตัวเครื่องดีไซน์ใกล้เคียงเดิม เลยอาจดูไม่ค่อยเปลี่ยนมากนัก
กล้องซูม 5x มีเฉพาะในรุ่น Pro Max เท่านั้น
แบตเตอรี่ ยังชาร์จเร็วสูงสุดที่ 27W / รองรับ MagSafe เหมือนเดิม
ราคาค่อนข้างสูง 15 Pro 128 GB เริ่มที่ 41,900 บาท 15 Pro Max 256 GB 48,900 บาท


***ไทเทเนียม เครื่องเบาเบาลง ขอบจอบาง


ด้วยการที่ในปีนี้ Apple เน้นย้ำเรื่องความสำคัญของความยั่งยืนมากขึ้น วัสดุต่างๆ ที่เลือกนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่จึงกลายเป็นวัสดุรีไซเคิล และสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ประกอบกับก่อนหน้านี้ Apple เริ่มนำไทเทเนียมมาใช้กับ Apple Watch Ultra มาก่อนแล้วด้วย


จึงกลายเป็นว่าการเลือกใช้ Titanium ในรอบนี้ จะมาย้ำเรื่องความแข็งแรงของตัวเครื่อง เพราะใช้วัสดุเกรดเดียวกับยานอวกาศที่ไปดาวอังคาร ในขณะเดียวกันก็ได้เรื่องของน้ำหนักที่เบาลง รวมถึงการลดขนาดขอบจอให้บางลงทำให้มิติของตัวเครื่องเล็กลง พร้อมกับการปรับเพิ่มความโค้งบริเวณขอบเครอ่องทำให้เวลาจับถือใช้งานถนัดมือมากขึ้นด้วย


โดยในรุ่น iPhone 15 Pro Max จะมีขนาดอยู่ที่ 159.9 x 76.7 x 8.25 มม. 221 กรัม เมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max ที่ 160.7 x 77.6 x 7.85 มม. 240 กรัม จะเห็นว่าเบาลงเกือบ 20 กรัม และมีตัวเครื่องที่เล็กลงเล็กน้อยมากๆ


ส่วน iPhone 15 Pro ขนาด 146.6 x 70.6 x 8.25 มม. 187 กรัม เทียบกับ iPhone 14 Pro 147.5 x 71.5 x 7.85 มม. 206 กรัม เบาลงเกือบ 20 กรัมเช่น และตัวเครื่องก็เล็กลงด้านละไม่ถึง 1 มม. เช่นเดียวกัน


รายละเอียดที่น่าสนใจของการเลือกใช้ไทเทเนียมที่มีรอยฝีแปรง ทำให้ขอบเครื่องออกด้านๆ ดูมีรายละเอียดมากขึ้น และช่วยลดรอยนิ้วมือลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าที่เป็นวัสดุสเตนเลส แต่ก็ยังติดรอบนิ้วมือง่ายอยู่เช่นเดิม

ส่วนวัสดุที่ใช้ภายในยังคงเป็นอะลูมิเนียมเช่นเดิม เพียงแต่ว่าเป็นวัสดุที่มาจากการรีไซเคิล 100% พร้อมกับออกแบบใหม่สามารถซ่อมได้ง่ายขึ้น ปิดด้วยฝาหลังแบบกระจก เพิ่มความแข็งแรงของตัวเครื่อง

เทียบขนาด iPhone 14 Pro และ iPhone 15 Pro
แน่นอนว่า เมื่อมิติของตัวเครื่องเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ iPhone 15 Pro ไม่สามารถใช้เคสร่วมกับ iPhone 14 Pro ได้ ซึ่งแน่นอนว่า ส่วนใหญ่ผู้ใช้งาน iPhone จะไม่ได้เปลี่ยนเครื่องทุกๆ ปีกันอยู่แล้ว เพราะมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หรือเครื่องเก่าใช้มานาน อย่าง iPhone 12 หรือรุ่นเก่ากว่าก็อาจจะได้เวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่กันในรอบนี้

ที่ปักหมุดไว้ที่ iPhone 12 Pro ไม่ใช่ iPhone 13 Pro เพราะปัจจุบันช่วงระยะเวลาเฉลี่ยในการเปลี่ยนเครื่องใหม่ของผู้บริโภคจะอยู่ที่ราว 3 ปี พอดี ดังนั้นการเปลี่ยนจาก iPhone 12 Pro หรือเก่ากว่านั้นมาใช้งาน iPhone 15 Pro จะได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าเดิมอย่างมาก

หน้าจอสู้แสงได้
สำหรับหน้าจอของ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max มาในขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว โดยเป็นหน้าจอ OLED ในชื่อเรียกว่า Super Retina XDR ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ 2000 nits และรองรับเทคโนโลยี ProMotion ในการแสดงผลที่ 120 Hz ผ่านมาตรฐานสี P3 ด้วย


พร้อมกันนี้ ยังคงมีหน้าจอ Always-On Display มาให้ใช้งานคู่กับ Dynamic Island ซึ่งใช้งานมาตั้งแต่ใน iPhone 14 Pro จึงกลายเป็นว่ารวมๆ แล้วเรื่องของหน้าจอแสดงผลไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก

สีของตัวเครื่องในปีนี้มีให้เลือกด้วยกัน 4 สี ประกอบด้วย ขาว Titanium White ดำ Titanium Black น้ำเงิน Titanium Blue และสีที่ได้รับความนิยมอย่างมากคือ ธรรมชาติ Titanium Natural โดยตัวเครื่องยังกันน้ำกันฝุ่น IP68 เช่นเดิม


***สิ่งใหม่ Action Botton - USB-C


ถัดมาส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลย คือการปรับมาใช้ปุ่ม Action Button เข้ามาแทนที่สวิตช์เปิด/ปิด เสียง ที่อยู่คู่กับ iPhone มาอย่างยาวนาน ซึ่งจะช่วยให้การใช้งาน iPhone 15 Pro รุ่นใหม่นี้สะดวกขึ้น กับการสั่งงานด้วยปุ่มนี้ ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกปรับได้อย่างหลากหลาย


ความสามารถของ Action Button ที่มีมาให้ในช่วงแรกคือ สามารถตั้งเปิด/ปิด เสียงเช่นเดิมก็ได้ หรือจะเลือกใช้ปุ่มสำหรับการเรียกกล้องถ่ายภาพ ที่สามารถระบุได้ถึงโหมดที่ต้องการตั้งไว้ (อย่างภาพนิ่ง หรือวิดีโอ) ตามด้วยการปรับเลือกโปรไฟล์โฟกัสที่ตั้งไว้


การใช้งานไฟฉาย การบันทึกเสียง การแปลภาษา แว่นขยาย หรือเรียกใช้งาน Shortcut ชุดคำสั่งลัดต่างๆ ที่ตั้งไว้ ซึ่งในจุดนี้ทำให้ Action Button สามารถพัฒนาต่อเนื่องไปได้อีกมากในอนาคต

ส่วนที่เหลืออย่างปุ่มปรับระดับเสียง ช่องใส่ถาดนาโนซิมการ์ด ที่ปัจจุบันหลายคนหันไปใช้งาน eSIM เพื่อให้ใช้งาน 2 ซิมได้แล้วก็ตาม และปุ่มเปิดเครื่อง ที่ไว้ใช้เรียกใช้งาน Siri ก็ยังมีมาให้อยู่เหมือนเดิม


ในส่วนของพอร์ต USB-C ที่นับเป็นไฮไลต์ เพราะนับตั้งแต่แอปเปิลเลิกใช้พอร์ต 30 Pin เป็นรุ่นสุดท้ายใน iPhone 4s และเปลี่ยนมาเป็น Lighting ใน iPhone 5 เป็นต้นมา ถึง iPhone 14 ที่รองรับความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลระดับ USB 2 (466 Mbps) เมื่อเทียบกับขนาดของไฟล์ในปัจจุบันที่ใหญ่ขึ้นทำให้กลายเป็นว่าไม่เพียงพอกับการใช้งาน รวมถึงการกำหนดมาตรฐานพอร์ตของทางยุโรป ทำให้ในปีนี้เปลี่ยนมาใช้ USB-C เรียบร้อยแล้ว

โดยในรุ่น iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max จะได้พอร์ต USB-C 3 ที่สามารถรับส่งไฟล์ได้ความเร็วระดับ 10 Gbps เร็วกว่า ซึ่งเร็วกว่า USB 2 ถึง 20 เท่า ทำให้การโอนย้ายไฟล์ทำได้รวดเร็วขึ้นมาก

นอกเหนือจากประโยชน์ในแง่ความเร็วการโอนถ่ายไฟล์แล้ว การที่ใช้พอร์ต USB-C ที่เป็นมาตรฐานทำให้ iPhone สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผลความละเอียดสูงสุดที่ 4K60 HDR


รวมถึงเชื่อมต่อกับสตอเรจทั้งธัมป์ไดรฟ์ และ SSD โดยมีข้อจำกัดที่พอร์ตสามารถปล่อยไฟแบบ Power Delivery ได้ 4.5W ทำให้นอกจากใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลแล้ว ยังสามารถใช้กับสาย USB-C to Lightning เพื่อชาร์จ AirPods หรือ Apple Watch ได้ด้วย


***กล้องใหม่ ล้ำมากขึ้น


ส่วนของกล้องใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max จะยังให้ความละเอียดเลนส์หลักอยู่ที่ 48 ล้านพิกเซล f/1.78 ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง 12 ล้านพิกเซล f/2.2 และเลนส์เทเลโฟโต้ 12 ล้านพิกเซล f/2.8 ขณะที่กล้องหน้า TrueDepth อยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล f/1.9

ระยะซูมใน iPhone 15 Pro Max
ใจความสำคัญของการอัปเกรดรอบนี้ อยู่กับ iPhone 15 Pro Max ที่ได้เลนส์ซูมใหม่ที่เป็นออปติคัลซูมแบบไม่เสียรายละเอียดที่ 5 เท่า ทำดิจิทัลซูมได้สูงสุดที่ 25 เท่า ขณะที่ iPhone 15 Pro จะได้ระยะซูมออปติคัลที่ 3 เท่า และดิจิทัลซูม 15 เท่า จึงกลายเป็นว่า iPhone 15 Pro Max จะได้เลนส์ซูมที่คุณภาพดีกว่า

ระยะซูมใน iPhone 15 Pro
เพียงแต่จุดที่น่าสนใจจริงๆ ของการอัปเดตกล้องใน iPhone 15 Pro ปีนี้ อยู่ที่เลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล ที่มีการนำเทคโนโลยีประมวลผลภาพ Photonic Engine เข้ามาช่วย ทำให้เมื่อผู้ใช้งานถ่ายภาพจากเลนส์หลักจะใช้การผสมภาพที่ได้จากเลนส์ 48 ล้านพิกเซล เข้ากับ 12 ล้านพิกเซล ที่มาจาก quad-pixels ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดสูง เก็บแสงได้มากขึ้น ได้รายละเอียดที่ดีที่สุด


นอกจากนี้ ในระยะถ่ายภาพปกติ จะขยับความละเอียดภาพที่ได้จากรุ่นก่อนหน้าอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล มาเป็น 24 ล้านพิกเซล เป็นค่ามาตรฐาน ทำให้ไฟล์ภาพที่ได้มีคุณภาพมากกว่าเดิมอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาซูมเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ


ขณะเดียวกัน เลนส์หลัก 48 ล้านพิกเซล ยังสามารถใช้การซูม 2x เข้าไป เพื่อถ่ายภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยไม่เสียรายละเอียดได้ด้วย ช่วยเพิ่มระยะการถ่ายภาพ และวิดีโอได้ครอบคลุมมากขึ้น

พร้อมกับขยับความสามารถในการถ่ายภาพ Portrait ให้สะดวกขึ้น เมื่อเปิดใช้งานกล้องในโหมดปกติ และตัวเครื่องตรวจจับได้ว่ากำลังถ่ายภาพบุคคล สุนัข หรือแมว ตัวกล้องจะทำการบันทึกมิติของภาพเพิ่มเติมเข้าไปทันที ทำให้หลังจากกดชัตเตอร์ที่เหมือนถ่ายภาพปกติ ผู้ใช้สามารถเข้าไปแก้ไข (Edit) เลือกปรับให้เป็นโหมด Portrait หน้าชัดหลังเบลอ หรือเลือกโฟกัสจุดที่ต้องการภายหลังได้ด้วย


ในรอบนี้ยังสามารถปรับระยะหลักของเลนส์ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพมีระยะเลนส์ให้เลือกใช้ถึง 7 ระยะด้วยกัน โดยใน iPhone 15 Pro จะมีให้เลือกตั้งแต่มาโคร 13 มม. 24 มม. 28 มม. 35 มม. 48 มม. และ 77 มม. ในขณะที่ iPhone 15 Pro จะขยับระยะซูมขึ้นไปสุดที่ 120 มม. แทน


ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่แอปเปิลนำมาใช้กับเลนส์ Telephoto ใน iPhone 15 Pro Max คือ Tetraprism ที่ใช้กระจกปรีซึม 4 ชิ้น มาช่วยสะท้อนแสงก่อนเข้าสู่เซ็นเซอร์ ทำให้สามารถทำเลนส์ซูมที่มีขนาดเล็กได้ และยังใส่เซ็นเซอร์กันสั่น 3D เข้าไป ช่วยห้สามารถถ่ายภาพได้นิ่งกว่าเดิม


สำหรับผู้ที่ชอบปรับแต่งภาพเพิ่มเติม ใน iPhone รุ่นใหม่นี้ยังสามารถบันทึกภาพได้แบบ ProRAW เพื่อนำไปปรับแต่งเพิ่มเติม ซึ่งเมื่อนำไปใช้ในสตูถ่ายภาพ สามารถเชื่อมต่อสาย USB-C เข้ากับ Mac เพื่อใช้งานโปรแกรม Capture One ที่ช่างภาพนิยมใช้ เพื่อแสดงผลภาพถ่ายได้ทันที

ไฮไลต์สำหรับงานวิดีโอคือการถ่ายวิดีโอที่ระดับ ProRes 4K 60 fps เมื่อเชื่อมต่อกับ SSD หรือ External Drive ผ่านพอร์ต USB-C ในการบันทึกไฟล์วิดีโอลงไปเก็บไว้โดยตรง โดยสามารถบันทึกได้ต่อเนื่องที่ 59 นาที และไฟล์ที่ได้ใน SSD สามารถนำไปใช้งานตัดต่อได้ทันที ไม่ต้องรอโอนข้อมูลออกจากเครื่องอีกต่อไป


***ชิปใหม่ A17 Pro เล่นเกม AAA


สุดท้ายในส่วนของการประมวลผล ในปีนี้แอปเปิลเลือกที่จะใช้ชิปเซ็ตชื่อใหม่ A17 Pro เข้ามาแทน จากก่อนหน้านี้ใช้ A16 Bionic โดยในปีนี้ได้ปรับมาผลิตบนสถาปัตยกรรมแบบ 3 นาโนเมตรแล้ว ช่วยให้ได้ประสิทธิภาพต่อพลังงานที่ใช้ต่ำลง รวมถึงร้อนน้อยลงด้วย

ภายใน A17 Pro จะมี 6 คอร์ ซีพียู ที่เป็นคอร์ประสิทธิภาพสูง 2 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงาน 4 คอร์ เร็วขึ้นจากรุ่น A16 Bionic ที่ใช้งานใน iPhone 14 Pro และ iPhone 15 ราว 10% แต่จะโดดเด่นที่กราฟิกคอร์ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 6 คอร์ ทำให้ประมวลผลภาพได้แรงขึ้นกว่าเดิม 20% และ NPU ที่เร็วขึ้น 2 เท่า

นอกจากนี้ ยังรองรับการเรนเดอร์ที่ซ้ำซ้อนมากขึ้น อย่าง MetalFX ที่ก่อนหน้านี้รองรับบน Mac ที่ใช้ชิป Apple Silicon รวมถึง Ray Tracing ในเกมที่เน้นกราฟิกสูงๆ ระดับเดียวกับเกมคอนโซล ซึ่งช่วยเปิดโอกาสให้นักพัฒนาเกมได้พอร์ตเกมมาลงเล่นในดีไวซ์ที่หลากหลายมากขึ้น นอกจาก Mac และ iPad ที่ทยอยมาแล้วก่อนหน้านี้


จึงกลายเป็นว่าใน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max สามารถรันเกมอย่าง Resident Evil Village รวมถึง Resident Evil 4 และ Death Stranding ที่จะเปิดให้ดาวน์โหลดเล่นกันในช่วงปลายปีนี้ และ Assassin’s Creed Mirage ที่จะเปิดให้เล่นในช่วงต้นปี 2024 ด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังจากทดลองเล่น Resident Evil Village มาสักพัก พบว่า รูปแบบการควบคุมบนหน้าจออาจจะไม่เหมาะสมกับการเล่นเกมแนวนี้ แนะนำให้เชื่อมต่อกับจอยเกมบลูทูธ ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม หรือใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับเล่นเกมอย่าง Blackbone จะช่วยให้เล่นได้ง่ายกว่า

ในเรื่องของแบตเตอรี่ ตัวเครื่องยังรองรับการชาร์จสูงสุดที่ 27W โดยถ้าชาร์จร่วมกับอะแดปเตอร์ 20W จะสามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 35 นาที ซึ่งสาย USB-C แบบถักที่ให้มาในกล่องรองรับกำลังไฟได้ถึง 60W แต่เป็น USB 2 ดังนั้น ถ้าต้องการโอนย้ายข้อมูลไวๆ อาจจะต้องซื้อสาย Thunderbolt 4 เพิ่มเติม

ขณะที่การเชื่อมต่อ iPhone 15 Pro รองรับจะรองรับ 5G พร้อมใส่ WiFi 6E บลูทูธ 5.3 Ultra Wideband NFC และระบบเครือข่าย Thread ไว้ใช้กับอุปกรณ์ IoT มาให้ครบ เรียกได้ว่าให้มาสมกันการเป็นรุ่นโปรอยู่แล้ว และนับเป็น iPhone รุ่นแรกที่มากับ WiFi 6E ด้วย


***สรุป


จากกระแสตอบรับในวันที่เปิดให้สั่งจอง iPhone 15 และพบว่า iPhone 15 Pro Mac ได้รับความนิยมมากที่สุด จนทำให้ล่าสุดการสั่งซื้อผ่านออนไลน์สโตร์ของ Apple ในบางสี กำหนดวันจัดส่งไปถึงช่วงเดือนพฤศจิกายนกันแล้ว ทำให้เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนที่รอคอยเครื่องรุ่นใหม่ทยอยสั่งจองกันไปแล้ว

รายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบน iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max รอบนี้น่าจะตอบโจทย์คนที่รอให้เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C เพราะจะทำให้พกสายแค่เส้น และอะแดปเตอร์เดียว ใช้งานได้กับหลายอุปกรณ์ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โน้ตบุ๊ก

เมื่อรวมกับการเปลี่ยนแปลงของกล้องที่ซูมได้ไกลขึ้น วัสดุใหม่ที่ตัวเครื่องเล็ก และเบาลงกว่าเดิม ทำให้การตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องในปีนี้ทำได้ง่ายขึ้น แต่แน่นอนว่า ถ้าใช้ iPhone 13 Pro หรือ iPhone 14 Pro อยู่ จะรออัปเดตใหม่ใน iPhone 16 Pro แล้วค่อยเปลี่ยนก็ยังได้


กำลังโหลดความคิดเห็น