ความน่าสนใจของ Redmi Watch 3 ตั้งแต่เปิดตัวในต่างประเทศที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือเรื่องของหน้าจอแสดงผลขนาด 1.75 นิ้วแบบ AMOLED ที่ให้สีสันสดใส และแสดงผลได้ชัดเจน และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ต่อเนื่อง 12 วัน
เมื่อรวมกับความสามารถในการตรวจวัดสุขภาพทั้งอัตราการเต้นหัวใจ ออกซิเจนในเลือด การวัดการออกกำลัง วัดการนอน พร้อมการแจ้งเตือน แถมยังเชื่อมต่อบลูทูธใช้โทรศัพท์ได้ด้วยในราคาพิเศษ 2,990 บาท จาก 3,490 บาท ทำให้กลายเป็นสมาร์ทวอทช์รุ่นเริ่มต้นที่น่าสนใจ
ข้อดี
หน้าจอ AMOLED 1.75 นิ้ว
ระบบตรวจวัดสุขภาพต่างๆ ครบถ้วน
แบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่อง 12 วัน
ข้อสังเกต
เซ็นเซอร์วัดค่าออกซิเจนในเลือดทำงานค่อนข้างช้า
ต้องคอยปิด Always on display เวลาใส่นอน (ถ้าตั้งโหมด Smart)
หน้ารวมแอปต้องทำความเข้าใจสัญลักษณ์พอสมควร
ตัวเรือนสวมใส่ง่าย
การออกแบบนาฬิกา Redmi Watch 3 ถือว่าทำออกมาได้ลงตัวมากขึ้น มีความเรียบหรูมากขึ้น จากตัวเรือนโลหะที่มีให้เลือก 2 สีคือ ดำ Black และงาช้าง Ivory ขนาดอยู่ที่ 42.6 x 36.5 x 9.99 มิลลิเมตร น้ำหนักรวมสายอยู่ที่ 37.3 กรัม
ขนาดหน้าจอของ Redmi Watch 3 จะอยู่ที่ 1.75 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่ 70% เป็นหน้าจอ AMOLED ความละเอียด 340 x 450 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีที่ 341 ppi สามารถแสดงผลได้ความสว่างสูงสุดที่ 600 nits ทำให้สามารถใช้งานกลางแจ้งได้สบายๆ
ปุ่มควบคุมที่ให้มาจะมีเพียงปุ่มกดทางฝั่งขวา ที่ใช้เข้าดูหน้ารวมแอปพลิเคชัน ส่วนการสั่งงานอื่นๆ จะใช้งานสัมผัสที่หน้าจอ รวมถึงการปัดขึ้น ลง ซ้าย ขวามนหน้าจอต่างๆ เพื่อใช้งานแทน
หลังตัวเรือนจะเป็นที่อยู่ของเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และออกซิเจนในเลือด โดยมีแถบแม่เหล็กสำหรับแปะหัวชาร์จที่แถมมาให้ในกล่องด้วย และในฝั่งเดียวกับปุ่มกดจะมีช่องไมโครโฟน และลำโพงซ่อนอยู่
สายนาฬิกาที่ให้มาจะเป็นสายยางที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ทำให้สามารถเลือกเปลี่ยนสายเป็นสีที่ชื่นชอบ และใส่ใช้งานเข้ากับเสื้อผ้าสีสันต่างได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันสายพวกนี้สามารถสั่งผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซได้ง่ายๆ
Redmi Watch 3 กันน้ำที่ระดับ 5ATM หรือน้ำลึกไม่เกิน 50 เมตร ทำให้สามารถใส่ออกกำลังกายที่มีเหงื่อได้สบายๆ หรือแม้แต่การใส่ว่ายน้ำก็สามารถทำได้ ซึ่งเมื่อขึ้นจากน้ำสามารถกดเข้าโหมดไล่น้ำ เพื่อให้เครื่องปล่อยเสียงออกจากลำโพงมาช่วยได้
โหมดใช้งานครบถ้วน
ในการเชื่อมต่อ Redmi Watch 3 กับสมาร์ทโฟนสามารถทำได้ผ่านแอป Mi Fitness ที่เมื่อเชื่อมต่อบลูทูธนาฬิกาเข้ากับสมาร์ทโฟนแล้ว จะสามารถเลือกปรับตั้งค่าอย่างการเปลี่ยนรูปแบบหน้าปัดได้มากกว่า 200 แบบ
รวมถึงการเข้าไปตั้งค่าการตรวจวัดสุขภาพต่างๆ อย่างโหมดวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่สามารถเข้าไปเปิดให้วัดต่อเนื่อง และแจ้งเตือนเมื่อมีการเต้นของหัวใจที่สูงผิดปกติ หรือการวัดอัตราการเต้นหัวใจขณะนอนต่างๆ แน่นอนว่าเมื่อเปิดใช้งานพวกนี้แล้วแบตเตอรี่อาจจะอยู่ได้ไม่ถึง 12 วัน แต่เชื่อว่ายังใช้ได้ต่อเนื่องทั้งสัปดาห์สบายๆ
สำหรับโหมดออกกำลังกายที่ให้มามีตัวเลือกให้กว่า 121 โหมด รวมถึงมีโหมดฝึกซ้อมสำหรับการวิ่งให้เลือกใช้งานด้วย โดยจะทำงานควบคู่กับ GPS ที่ให้มาเพื่อระบุตำแหน่ง และคอยเก็บข้อมูลการออกกำลังกายต่างๆ ไปแสดงผลในแอป
ส่วนที่เหลือจะเป็นความสามารถของสมาร์ทวอทช์ปกติอย่างการแจ้งเตือน การรับโทรศัพท์ ดูตารางนัดหมาย พยากรณ์อากาศ ควบคุมเพลง เป็นรีโมตชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพ นาฬิกาจับเวลา เข็มทิศ ไฟฉาย เป็นต้น
สรุป
Redmi Watch 3 ที่วางขายในราคา 2,990 บาท น่าจะเป็นตัวเลือกเริ่มต้นที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทวอทช์มาตอบโจทย์การใช้งานในช่วงแรก ก่อนขยับขึ้นไปเป็นรุ่นที่มีประสิทธิภาพ และราคาสูงกว่านี้ ประกอบกับการที่ตัวเครื่องรองรับทั้งการเชื่อมต่อกับ Android และ iOS ทำให้เปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจใช้งานด้วย