แม้ว่า Apple TV 4K รุ่นปี 2022 จะเปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงตุลาคมปีที่แล้ว แต่กว่าจะที่ผ่านการอนุมัติเข้ามาทำตลาดในไทย จากขั้นตอนการขออนุญาตกล่องทีวีทำให้ใช้เวลากว่า 5 เดือน จนถึงวันที่สามารถนำเข้ามาวางจำหน่ายได้อย่างเป็นทางการ
จุดเด่นหลักของ Apple TV 4K (2022) คือการอัปเกรดใหม่ที่พัฒนาขึ้นในหลายส่วน ในราคาที่ถูกลง ทั้งเรื่องของชิปเซ็ตขนาดเล็กลง รองรับมาตรฐานใหม่อย่าง HDR10+ และเปลี่ยนพอร์ตชาร์จรีโมตมาเป็น USB-C ในราคาเริ่มต้น 5,290 บาท ซึ่งนับว่าถูกลงเมื่อเทียบกับ Apple TV 4K (2021)
ข้อดี
กล่องทีวี 4K คุณภาพสูงรองรับ HDR10+ / Dolby Vision / Dolby Atmos
เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใน Apple อีโคซิสเต็มได้ไร้รอยต่อ
รองรับสตรีมมิ่งครบทุกค่ายที่ให้บริการในไทย
ข้อสังเกต
ระดับราคาค่อนข้างสูง 5,290 / 5,990 บาท
ในกล่องไม่แถมสายชาร์จรีโมตมาให้แล้ว
เปลี่ยนทีวีให้ลื่นไหลขึ้น
เชื่อว่าผู้บริโภคหลายคนคงเกิดคำถามว่า ในเมื่อทีวีรุ่นใหม่ในท้องตลาดปัจจุบันนี้เป็น Smart TV ที่รองรับการใช้งานแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งต่างๆ อยู่แล้ว ทำไมต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อเลือกซื้อกล่องทีวีอย่าง Apple TV มาใช้งาน
จากประสบการณ์ที่ได้ทดสอบใช้งานสมาร์ททีวีหลายๆ รุ่นในท้องตลาดตั้งแต่ระดับราคาเริ่มต้นไม่กี่พันบาท ไปจนถึงหลายหมื่นบาท สิ่งหนึ่งที่ทีวีในท้องตลาดยังไม่ตอบโจทย์คือเรื่องของประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล
เนื่องจากปัจจุบัน โทรทัศน์หลายๆ แบรนด์จะใช้ระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันไป ทั้ง Android TV ที่หลายๆ แบรนด์เลือกใช้ หรือ TizenOS ของซัมซุง และ webOS ของแอลจี ซึ่งกลายเป็นว่านอกจากทีวีต้องใช้ชิปเซ็ตในการช่วยประมวลผลภาพแล้ว ต้องแบ่งประสิทธิภาพในการประมวลผลบางส่วนมาใช้ในการรันระบบปฏิบัติการด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เวลาควบคุมสมาร์ททีวีอาจจะรู้สึกถึงความหน่วง ถ้ากดแล้วไม่ทันใจ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่เคยได้ลองเปรียบเทียบกับกล่องทีวี ทั้งในส่วนของ Android Box และ Apple TV ที่คุณภาพสูงๆ อาจจะไม่เห็นภาพมากนัก
แต่เชื่อเลยว่าถ้าได้ลองใช้งานแล้วจะไม่กลับไปใช้ระบบของสมาร์ททีวีอีก โดยเฉพาะผู้ที่ใช้งานดีไวซ์ของแอปเปิล ไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad Mac หรือ AirPods เพราะ Apple TV ฉลาดมากในการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อบนอีโคซิสเต็มของ Apple
ที่สำคัญคือ Apple TV จะสามารถรีดประสิทธิภาพของสตรีมมิ่งคอนเทนต์ออกมาได้เต็มที่ อย่างเช่นถ้าทีวีรองรับ Dolby Vision / HDR 10+ จะแสดงเนื้อหาที่ให้ภาพสมจริงมากที่สุด รวมถึงถ้าเชื่อมต่อกับระบบโฮมเธียเตอร์ที่รองรับ Dolby Atmos จะได้ระบบเสียงรอบทิศทางด้วย
ดูได้ทั้งฟรีทีวี สตรีมมิ่ง จนถึงเล่นเกม
สำหรับผู้ที่ไม่เคยใช้งาน Apple TV มาก่อน ต้องมาอัปเดตกันก่อนว่าปัจจุบัน Apple TV สามารถลงแอปพลิเคชันเพื่อใช้งานได้ ไม่ต่างจากเวลาเราลงแอปบนมือถือใช้งาน ผ่าน App Store ของแอปเปิล นั่นหมายความว่า ในการใช้งาน ผู้ใช้สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันเพื่อรับชมคอนเทนต์ได้ครบถ้วนไม่ต่างจากบนสมาร์ทโฟน
เพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สามารถรับชมได้ตั้งแต่ฟรีทีวี ที่ปัจจุบัน AIS PLAY พัฒนาแอปขึ้นมาให้คนไทยทุกคนสามารถรับชมช่องที่เป็นฟรีทีวีได้อยู่แล้ว หรือถ้าต้องการรับชมคอนเทนต์พรีเมียมก็สามารถเลือกสมัครสมาชิก AIS PLAY Premium เพิ่มเติมได้
ถัดมาในกลุ่มของบริการสตรีมมิ่ง มีให้เลือกใช้งานทั้ง YouTube Netflix Disney+ Prime Video HBO Go Apple TV+ VIU WeTV iQIYI หรือแม้กระทั่ง Bein Sports เรียกได้ว่ามาครบจนสมัครสมาชิกใช้งานกันไม่ไหว
ดังนั้น ในแง่ของการรับชมคอนเทนต์บนทีวีจึงตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี สิ่งที่จะมีเพิ่มเติมเข้ามาในแง่ของการฟังเพลงก็สามารถเลือกฟังได้จาก Apple Music หรือโหลด Spotify มาใช้งานกันได้ รวมถึงการใช้เล่นเกมที่มี Apple Arcade ให้เล่นกันภายในครอบครัว ที่สามารถเชื่อมต่อจอยเกมของ PS และ Xbox ใช้งานได้
เชื่อมต่ออุปกรณ์ Apple
แน่นอนว่าในเมื่อเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของ Apple การที่จะใช้งานได้เต็มรูปแบบมากที่สุด คือการใช้งานร่วมกันภายในอีโคซิสเต็ม โดยความสามารถที่น่าสนใจของ Apple TV อย่างแรกเลยคือ รองรับการเชื่อมต่อ Air Play จากอุปกรณ์อื่นๆ ในการส่งเนื้อหาจากมือถือ ไอแพด แมคบุ๊กขึ้นไปอยู่บนทีวีจอใหญ่ให้ใช้งาน
นอกจากนี้ ยังรองรับการใช้ iPhone ในการควบคุม Apple TV แทนการใช้รีโมต หรือการใช้ iPhone มาช่วยในการปรับเทียบแสงให้ตรงกับค่ามาตรฐานในการรับชมคอนเทนต์ต่างๆ
รวมถึงฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาอย่างการเชื่อมต่อกับหูฟัง AirPods ทำให้สามารถรับชมคอนเทนต์ได้โดยไม่รบกวนบุคคลอื่นในครอบครัวที่อาจจะกำลังทำงานจากที่บ้าน หรือพักผ่อนอยู่ ซึ่งสามารถเชื่อมต่อ AirPods ได้พร้อมกัน 2 คู่
ส่วนผู้ที่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ Smart Home ใช้งานภายในบ้านก็สามารถใช้ Apple TV ในการเป็น Hub เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ที่ผ่านมาตรฐาน Homekit และ Matter มาไว้ให้ควบคุมผ่านรีโมตได้ด้วย
ปรับดีไซน์ใหม่ เล็กลง เบาขึ้น
ทีนี้กลับมาในเรื่องของดีไซน์ Apple TV ยังคงใช้ดีไซน์เดิมที่มีเอกลักษณ์ในสไตล์มินิมอลอยู่แล้ว ด้วยการออกแบบตัวเครื่องให้เรียบๆ มีผิวสัมผัสด้าน ผสมกับขอบเครื่องที่เป็นสีดำเงา มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้า
ไล่ตั้งแต่การเหลือสกรีนเพียงสัญลักษณ์ Apple บนตัวเครื่องเท่านั้น ไม่มีคำว่า TV อยู่แล้ว ขนาดตัวเครื่องเล็กลงประมาณ 20% และขนาดบรรจุภัณฑ์เล็กลง 25% ซึ่งมาช่วยในเรื่องของการขนส่งให้ได้ปริมาณที่มากขึ้น ตามสไตล์การลดคาร์บอนเครดิตในปัจจุบัน
ภายในมีการปรับเปลี่ยนมาใช้ชิปเซ็ต Apple A15 Bionic จากรุ่นก่อนหน้าใช้ A13 Bionic ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นราว 15% และช่วยให้ประมวลผลกราฟิกได้ดีขึ้น 30% ซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจนตอนที่เล่นเกมมากกว่า และตัดพัดลมระบายอากาศออกทำให้ตัวเครื่องเบาขึ้นด้วย
ในส่วนของรีโมต ยังคงใช้ Siri Remote เช่นเดียวกับรุ่นที่ผ่านมา ซึ่งสามารถใช้คำสั่งเสียงในการสั่งงาน Siri เพื่อค้นหาคอนเทนต์ หรือเล่นซีรีส์ เพลงที่ต้องการได้ และเปลี่ยนพอร์ตชาร์จมาเป็น USB-C ซึ่งในกล่องไม่มีแถมสายมาให้ ต้องใช้จากอุปกรณ์อื่นๆ ในบ้านแทน
แต่ในความเป็นจริงเมื่อเชื่อมต่อ Apple TV กับสมาร์ททีวีรุ่นใหม่ๆ ก็สามารถใช้รีโมตของทีวีในการควบคุม Apple TV ได้อยู่แล้วด้วย จึงกลายเป็นว่าน้อยครั้งมากที่จะหยิบรีโมตของ Apple TV มาใช้งาน
สำหรับรุ่นที่วางจำหน่ายมีด้วยกัน 2 รุ่นด้วยกันคือ 64 GB ที่จะได้การเชื่อมต่อผ่าน WiFi เพียงอย่างเดียวในราคา 5,290 บาท และรุ่น 128 GB ที่รองรับ WiFi และมีพอร์ต LAN มาให้ด้วย ซึ่งในรุ่นท็อปนี้จะรองรับระบบเครือข่าย Thread ในการรองรับอุปกรณ์ IoT ด้วย
สรุป
แน่นอนว่า Apple TV (2022) จะเหมาะกับผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์ของ Apple อยู่แล้วเป็นหลัก กับอีกกลุ่มคือผู้ที่มีโทรทัศน์เครื่องเดิมอยู่ แล้วอยากได้ประสบการณ์ใช้งานทีวีที่ลื่นไหลมากขึ้น สามารถเลือกซื้อกล่องทีวีไปเชื่อมต่อใช้งานได้ทันที
ความสะดวกของ Apple TV หลักๆ คือการมีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย ไม่ต้องเรียนรู้อะไรมาก ตามด้วยความเสถียรที่มั่นใจได้ว่าไม่มีงอแง และแน่นอนว่าสามารถย้ายไปใช้งานกับทีวีเครื่องใหม่ในอนาคตได้ตลอดเวลา
ที่สำคัญคือราคาของ Apple TV รุ่นใหม่นี้ ถือว่าปรับลดลงจาก รุ่นก่อน ที่อยู่ราว 7,000 บาท ลงมาเหลือเริ่มต้นที่ 5,290 บาท ในรุ่น WiFi ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในบ้านที่มี WiFi ครอบคลุมอยู่แล้ว