ในยุคที่โทรทัศน์ในบ้านเริ่มอัปเกรดความคมชัดขึ้นเป็น 4K ไปจนถึง 8K กันแล้ว การหากล่องทีวีมาใช้งานคู่กับโทรทัศน์ที่ให้ประสิทธิภาพในการแสดงผลดีที่สุด และการใช้งานลื่นไหลที่สุดน่าจะเข้ามาตอบโจทย์ของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะในช่วงที่เรากำลังใช้เวลาอยู่บ้านกันมากขึ้น
ที่ผ่านมา Apple TV 4K รุ่นแรก ได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้ใช้งานในแง่ประสบการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่มีจุดหนึ่งที่หลายๆ คนไม่ชอบคือรีโมตที่บังคับ ควบคุมยาก ทำให้ใน Apple TV 4K รุ่นที่ 2 นี้ได้มีการปรับเปลี่ยน Apple TV Remote ที่นำ Click wheel ที่คุ้นเคยกันบน iPod กลับมาให้ใช้งานกัน
ในส่วนของชิปเซ็ตในเครื่องจะเปลี่ยนมาใช้ A12 Bionic จากรุ่นเดิมที่ใช้งาน A10X Fusion รวมถึงเพิ่มการรองรับการเชื่อมต่อมาตรฐาน WiFi 6 พร้อมอัปเกรด HDMI เป็น 2.1 ทำให้การประมวลผลโดยรวมแรงขึ้น รองรับการใช้งานที่หลากหลาย รวมถึงการเล่นเกมจาก Apple Arcade ด้วย
ข้อดี
- กล่องอินเทอร์เน็ตทีวีคุณภาพสูง
- การแสดงผล 4K HDR / Dolby Vision
- รองรับระบบเสียง Dolby Atmos
- มีแอปพลิเคชันให้เลือกใช้งานหลากหลาย
ข้อสังเกต
- ราคาค่อนข้างสูง (เริ่มที่ 6,700 บาท)
- มีพอร์ตเชื่อมต่อเฉพาะ HDMI ทำให้มีข้อจำกัดในการเชื่อมต่อระบบเสียง
เปลี่ยนสมาร์ททีวีให้อัจฉริยะมากขึ้น
แน่นอนว่าปัจจุบันหลายๆ บ้านมีการเปลี่ยนโทรทัศน์มาใช้งานสมาร์ททีวี หรือทีวีที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการต่างๆ กันแล้วทั้ง Android TV, LG WebOS หรือ Samsung Tizen แต่กลายเป็นว่า ประสบการณ์ใช้งานสมาร์ททีวีเหล่านั้นจะมีข้อจำกัดในการใช้งานร่วมกับ iOS หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของแอปเปิล
จึงเป็นที่มาของการที่ Apple เลือกผลิต Apple TV ออกมาทำตลาด พร้อมนำนวัตกรรมหลายๆ อย่างของแอปเปิล มาใช้งานในอุปกรณ์นี้บนระบบปฏิบัติการเฉพาะตัวอย่าง tvOS ที่ล่าสุดเริ่มเปิดให้ทดสอบใช้งาน tvOS 15 กันแล้ว และเป็นเหตุบนที่ Apple TV จะเข้ามาทำให้สมาร์ททีวีมีความอัจฉริยะมากยิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดของ tvOS คือการสร้างประสบการณ์ใช้งานให้ดีที่สุด ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบันเริ่มมีการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ดาวน์โหลดบน tvOS เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรดาสตรีมมิ่งคอนเทนต์ทั้งหลาย จุดที่น่าสนใจคือ ทุกแอปพลิเคชันจะถูกควบคุมให้ได้ตามมาตรฐานของ Apple ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าประสบการณ์ใช้งานที่ได้จะลื่นไหล และต่อเนื่องมากที่สุด
ดังจะเห็นได้จากปัจจุบัน บริการอย่าง AIS Play / Netflix / YouTube / LINE TV / WeTV / Vin ต่างมีให้ดาวน์โหลดใช้งานบน Apple TV ได้ทันที ทำให้เราสามารถใช้กล่องนี้ในการรับชมคอนเทนต์ความละเอียดสูงที่สตรีมผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที
โดยใครที่ใช้งาน AIS Fibre แล้วมีการสมัคร AIS Play Premium ไว้ ในขั้นตอนการติดตั้งใช้งานครั้งแรกระบบจะถามเลยว่าให้ทำการเชื่อมต่อบริการ Subscription ของ AIS Play เข้ากับ Apple TV 4K นี้หรือไม่ หลังจากเชื่อมต่อแล้วก็พร้อมให้ใช้งานได้ทันที
อีกจุดเด่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เรื่องการ AirPlay หรือการสตรีม/แคสทั้งภาพ และเสียง จากอุปกรณ์ iOS และ macOS มาแสดงผลบน Apple TV ผ่านระบบ AirPlay 2 ที่ให้ความสเถียรกว่าการเชื่อมต่อใช้งานโดยตรงกับสมาร์ททีวีหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน แม้ว่าสมาร์ททีวีหลายรุ่นจะรองรับการเชื่อมต่อ AirPlay แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ ลักษณะของ Apple TV 4K ยังมาในรูปทรงสี่เหลี่ยม สีดำเงาเช่นเดิม โดยมีไฟแสดงสถานะอยู่ด้านหน้า และช่องเชื่อมต่อทั้ง HDMI LAN และช่องเสียบสายไฟด้านหลังเครื่อง ภายในกล่องยังมีสาย Lightning to USB มาให้ไว้เสียบชาร์จรีโมตเพิ่มเติมด้วย
tvOS 15 จับคู่ใช้งานในอีโคซิสเต็ม
การวางจำหน่ายของ Apple TV 4K รุ่นที่ 2 ในประเทศไทย จะใกล้เคียงกับช่วงที่แอปเปิล ใกล้จะปล่อยให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง tvOS 15 มาใช้งานกันแล้ว โดยหลายๆ ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ tvOS 15 ได้เข้ามายกระดับการใช้งาน Apple TV ให้ดียิ่งขึ้นด้วย
เริ่มกันที่ Apple TV 4K สามารถเชื่อมต่อกับหูฟังไร้สายได้พร้อมกัน 2 คู่ และที่พิเศษกว่านั้นคือ รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio เมื่อใช้งานร่วมกับหูฟัง AirPods Max และ AirPods Pro หรือจะเชื่อมต่อกับลำโพง HomePod 2 ตัว เพื่อให้เสียงแบบสเตอริโอก็ได้เช่นกัน
ยังมีการปรับอุณหภูมิสีของหน้าจอให้แสดงผลได้ดีที่สุด ด้วยฟีเจอร์ Color Balance ที่จะทำงานร่วมกับ iPhone ที่ใช้งาน iOS 14.7 ขึ้นไป ด้วยการนำเซ็นเซอร์รับแสงจาก FaceID มาใช้รับแสงจากหน้าจอโทรทัศน์ และทำการปรับตั้งค่าให้เหมาะสมที่สุด ซึ่งเมื่อตั้งค่าแล้วจะเห็นถึงความต่างในการแสดงผลอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ Apple TV 4K ยังรองรับการเชื่อมต่อกับรีโมตเกม ทั้ง Xbox และ Playstation Dual Shock ทำให้สามารถนำจอยเกมมาเชื่อมต่อบลูทูธเพื่อใช้ควบคุม และเล่นเกมใน Apple Arcade ได้ทันทีอีกด้วย หรือถ้าใครอยากใช้เป็น Face Time ก็สามารถเชื่อมต่อกับกล้องเว็บแคมที่รองรับเพื่อใช้งานได้
Apple TV 4K ยังสามารถควบคุมผ่าน iOS ที่มีการฝัง Remote Control มาให้ใช้งานใน Control Center รวมถึงการกรณีที่ขึ้นแถบข้อมูลก็สามารถใช้คีย์บอร์ดบน iPhone พิมพ์เพื่อกรอกข้อมูล หรือเรียกใช้ iCloud Keychain ที่เก็บรหัสผ่านต่างๆ ไว้ด้วย
รีโมตดีไซน์ใหม่
ที่ผ่านมา รีโมตของแอปเปิล ทีวี เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้การใช้งาน Apple TV มีข้อจำกัดบางอย่าง อย่างเช่นการไม่มีปุ่มปิดเครื่องมาให้ พื้นผิวรับสัมผัสที่รวดเร็วเกินไป ทำให้เวลาโดนรีโมตจะเผลอกดโดยไม่รู้ตัว ไม่มีปุ่มปิดเสียง และขนาดที่แบนทำให้จับใช้งานยาก
พอมาเป็นรีโมตรุ่นใหม่ ที่แอปเปิลเรียกว่า Siri Remote ได้มีการปรับดีไซน์ให้มีขนาดใหญ่ เข้ากับมือมากขึ้น และปรับการควบคุมมาใช้ Clickpad แทน พร้อมเปิดปุ่มปิดเครื่องมาให้ใช้งาน และย้ายปุ่มเรียกใช้งาน Siri มาให้ทางฝั่งขวา
นอกจากนี้ ก็เป็นการเพิ่มปุ่มปิดเสียงเพิ่มเข้ามาแทน ใช้งานร่วมกับปุ่มย้อนกลับ เรียกใช้ Apple TV+ ที่กดค้างเพื่อเข้าสู่ Control Center เพื่อใช้สลับผู้ใช้งานได้ ที่เหลือก็จะเป็นปุ่มเล่น/หยุด และปรับระดับเสียง ที่จะเชื่อมต่อกับการควบคุมเสียงของทีวีอัตโนมัติ
สำหรับราคาจำหน่ายของ Apple TV 4K ปัจจุบันมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นคือ พื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB - 6,700 บาท และรุ่น 64 GB - 7,400 บาท และยังมีวางจำหน่าย Apple TV HD ที่มาพร้อม Siri Remote ในรุ่น 32 GB - 5,600 บาทอยู่ด้วย โดยผู้ที่ซื้อ Apple TV จะได้รับสิทธิสมัคร Apple TV+ บริการบอกรับสมาชิกฟรี 3 เดือน หลังจากนั้นค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 99 บาท