ถึงรอบในการอัปเดตชิป Apple M2 มาใช้งานใน iPad Pro สิ่งที่ตามมาคือทำให้ iPad Pro รุ่นปี 2022 แรงขึ้น รองรับการประมวลผลทั้งกราฟิก และวิดีโอที่รวดเร็วขึ้น จากการที่มี Media Engine มาช่วย จนกลายเป็น iPad ที่ประสิทธิภาพสูงที่สุดในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม iPad Pro M2 นั้นถือว่าไม่ได้มีการอัปเดตจุดอื่นที่มีนัยสำคัญ เพราะตัวเครื่องใช้ดีไซน์เดิม ฟีเจอร์การทำงานต่างๆ บน iPadOS 16 ทำได้ไม่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้า มีเพียงการใช้งานร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ที่สามารถใช้การจดแบบลอยบนหน้าจอ (Hover) เพื่อแสดงผลล่วงหน้า (Preview) ได้แล้ว
ขณะเดียวกัน ราคาของ iPad Pro ทั้งรุ่น 11” และ 12.9” มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเป็น 32,900 บาท และ 44,900 บาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ 27,900 บาท และ 37,900 บาท เชานเดียวกับ Apple Pencil 2nd Gen ที่ปรับมาเป็น 4,990 บาทด้วย
ข้อดี
แท็บเล็ตประสิทธิภาพสูง รองรับการใช้งานหลากหลาย
รุ่น 12.9” มากับหน้าจอ Liquid Retina XDR / ProMotion 120 Hz
รองรับการเชื่อมต่อ Thunderbolt/USB4 - WiFi 6E - 5G (ในรุ่น Cellular)
ข้อสังเกต
อัปเกรดจากรุ่นเดิมแค่ชิปประมวลผลที่แรงขึ้น
ราคาสูงขึ้นทั้ง iPad และอุปกรณ์เสริม (จากค่าเงิน)
เน้น Pro ขึ้นไปอีกขั้น
การอัปเกรดมาใช้ Apple M2 ใน iPad Pro รอบนี้ เข้ามาปลดล็อกการทำงานระดับมืออาชีพบน iPad Pro ขึ้นไปอีกขั้น จากเดิมที่อาจจะมีข้อจำกัดในแง่ของการถอดรหัสไฟล์วิดีโอ หรือไฟล์ภาพความละเอียดสูง แต่ด้วยความสามารถของ Apple M2 ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม 5 นาโนเมตร มีทรานซิสเตอร์มากกว่า 2 หมื่นล้านตัว มาทำให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น และในขณะเดียวกัน ยังประหยัดพลังงานเช่นเดิม
ในแง่ของประสิทธิภาพซีพียู เราได้เห็นความแรงของ M2 ที่เทียบกับ M1 ไปแล้วบน MacBook Air และ MacBook Pro 13” ที่ออกมาก่อนหน้านี้ พอมาเป็นใน iPad Pro ซึ่งเป็นแท็บเล็ตที่ไม่มีพัดลมระบายความร้อนเช่นเดียวกับใน MacBook Air แต่กลายเป็นว่าประสิทธิภาพที่ได้นั้นยอดเยี่ยมเช่นเคย
ส่วนของการใช้งาน M2 ให้ประสิทธิภาพซีพียูที่แอปเปิลเคลมว่าแรงขึ้น 15% และโดดเด่นในส่วนของการประมลผลภาพ (จีพียู) ที่แรงกว่า M1 ถึง 35% ทำให้การใช้งานโปรแกรมแต่งภาพ หรือตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพอย่าง Photoshop / LumaFusion / Affinity Photo ลื่นไหลมากขึ้น
ขณะเดียวกัน M2 ยังมากับ ProRes Encode / Decode เพิ่มเติม ทำให้สามารถถอดรหัสวิดีโอความละเอียดสูงได้ดีขึ้น รองรับการทำงานกับไฟล์วิดีโอที่หลากหลายขึ้น และให้การประมวลผลที่รวดเร็ว ซึ่งจะตอบโจทย์การแก้ไขงานบางส่วนที่หน้างานให้เห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
จุดที่แอปเปิลพยายามนำเสนอคือเรื่องของการ Process ไฟล์วิดีโอ ทั้งการนำ Machine Learning มาช่วยในการตรวจจับ และลบวัตถุในวิดีโอ การเกรดสีภาพใน Davinci Resolve ปรับแต่งสีจากวิดีโอที่ถ่ายมาเป็นไฟล์ LOG
รวมถึงในฝั่งของสายที่ใช้ Apple Pencil ในการครีเอตผลงานทั้ง Procreate และ Adobe Fresco ที่จะได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิม โดยเฉพาะการเรนเดอร์ไฟล์ต่างๆ
จะเห็นได้ว่า Apple M2 ได้เข้ามาปลดล็อกขีดจำกัดของการใช้งาน iPad Pro M2 ให้เหนือขึ้นไปกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกันกลายเป็นว่าผู้ที่ใช้งาน iPad Pro M1 เดิมอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้เน้นการทำงานกับไฟล์วิดีโอมากขึ้น แทบไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้งานรุ่นใหม่เลย เนื่องจากรุ่นเดิมทำได้ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
iPad ที่ดีที่สุด
ในภาพรวมของ iPad Pro 12.9 นิ้ว ต้องยอมรับว่าถือเป็นแท็บเล็ตที่ดีที่สุดในไลน์อัปขณะนี้ แต่ก็แลกมากับราคาที่สูงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในรุ่นอย่าง 1TB / 2TB ขึ้นไปราว 80,000 บาท ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่ได้เน้นใช้เพื่อเก็บข้อมูล หรือใช้โหลดไฟล์ความจุระดับ 256 / 512 GB ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้ว
จุดเด่นของ iPad Pro 12.9” คือมากับหน้าจอ Liquid Retina XDR ที่ให้ความละเอียดสูงถึง 2732 x 2048 พิกเซล โดยเป็นหน้าจอแบบ mini-LED ทำให้แสดงผลสีได้แม่นยำ เพิ่มเติมด้วย ProMotion 120 Hz ความสว่างหน้าจอ 1000 nits ที่สามารถเร่งขึ้นไปได้สูงสุดที่ 1,600 nits รวมถึงมีโหมดใช้งาน iPad Pro เป็น Reference ที่จะแสดงผลเป็นค่ามาตรฐานให้ใช้งานกันด้วย
ในขณะที่ iPad Pro 11” จะมากับ Liquid Retina ที่ความละเอียด 2388 x 1668 พิกเซล ทั้ง 2 รุ่นมากับระบบปลดล็อกด้วยใบหน้า (FaceID) ที่จะอยู่กึ่งกลางบนของตัวเครื่อง (แนวตั้ง) โดยกล้อง TrueDepth ที่ให้มาความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับฟีเจอร์การจัดให้อยู่ตรงกลาง (Center Stage) เวลาใช้งานวิดีโอคอลด้วย
รอบตัวเครื่องในรุ่นนี้จะมีการเพิ่มลำโพงเป็น 4 ตัว ทำให้ได้เสียงสเตอริโอเวลาใช้งานทั้งในแนวตั้ง และแนวนอน พร้อมกับเพิ่มไมโครโฟนเป็น 5 จุด โดยทางแอปเปิลระบุว่าให้เสียงคุณภาพเหมือนอัดในสตูดิโอ
ตัวเครื่องจะมีปุ่มเปิดเครื่อง/เรียกใช้งาน Siri กับปุ่มปรับระดับเสียง โดยมีการเว้นที่ทางขอบบน (แนวนอน) หรือขอบขวา (แนวตั้ง) เพื่อใช้แปะชาร์จ Apple Pencil รุ่นที่ 2 และมีพอร์ต Thunderbolt3 / USB4 มาให้ใช้งาน ซึ่งจะรองรับการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง 40 Gbps เชื่อมต่อกับจอนอกความละเอียด 6K หรือเชื่อมต่อกับ 10 Gigabit Ethernet
ด้านหลังเครื่องเป็นที่อยู่ของชุดกล้องที่ใช้ชุดเดิมกับใน iPad Pro M1 คือกล้องเลนส์ไวด์ 12 ล้านพิกเซล และอัลตราไวด์ 10 ล้านพิกเซล พร้อม LiDAR มาช่วยวัดระยะ รวมถึงการสแกนพื้นที่สำหรับ AR ด้วย และด้วยความสามารถของ M2 ทำให้ iPad Pro รุ่นนี้ สามารถถ่ายวิดีโอแบบ PreRes ได้ด้วย
สำหรับจุดสังเกตตัวเครื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นก่อน คือที่หลังเครื่องจะสกรีนคำว่า ‘iPad Pro’ แทนคำว่า iPad แล้ว ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ iPad Air M1 ก่อนหน้านี้ และสีเทาสเปซเกรย์จะให้โทนสีที่อ่อนกว่าเดิม
ขนาดของ iPad Pro 12.9” อยู่ที่ 280.6 x 214.9 x 6.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 682 กรัม ส่วน iPad Pro 11” อยู่ที่ 247.6 x 178.5 x 5.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 466 กรัม ส่วนของสเปกภายในถ้าเป็นรุ่น 128 GB / 256 GB / 512 GB จะมากับ RAM 8 GB ส่วนรุ่น 1 TB / 2 TB จะมากับ RAM 16 GB
iPadOS 16.1 - Apple Pencil hover รองรับการทำงานมากขึ้น
หลังจากที่ iPad ทุกรุ่นได้รับการอัปเดต iPadOS 16 กันไปแล้ว หนึ่งในฟีเจอร์น่าสนใจที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ Stage Manager ที่ทำให้ iPad รองรับการใช้งานแบบมัลติทาสก์มากยิ่งขึ้น และช่วยให้สลับใช้งานระหว่างแอปพลิเคชันได้สะดวก ยิ่งเมื่อใช้งานบนหน้าจอใหญ่อย่าง iPad Pro 12.9 จะมีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้นด้วย
อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมาคือ iPad รองรับการเขียนตัวอักษรเพื่อแปลงเป็นภาษาไทย (Scribble) เรียบร้อยแล้ว ทำให้สามารถจดบันทึกข้อมูลทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษผสมกันได้ ช่วยให้ผู้ใช้ iPad สำหรับการจดข้อมูลทำได้สะดวกขึ้น
ถัดมาคือฟีเจอร์ใหม่สำหรับผู้ที่ใช้งาน iPad Pro ร่วมกับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 ซึ่ง iPad Pro จะสามารถตรวจจับปากกาเหนือจอภาพได้ในระยะ 12 มม. จากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้สามารถระบุตำแหน่งก่อนจดปากกาได้
สิ่งที่ตามมาคือ iPad Pro สามารถแสดงผลล่วงหน้าในจุดที่ปากกากำลังจะสัมผัสหน้าจอ ช่วยให้สามารถเขียน สเกตซ์ และวาดภาพได้แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการแสดงผลแอป วิตเจ็ตต่างๆ หรือแม้แต่ในแอปวาดภาพ สามารถดูสีน้ำที่ผสมก่อนระบายได้
อย่างไรก็ตาม Apple Pencil Hover ยังอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนาทำให้ปัจจุบันยังมีแอปพลิเคชันที่แสดงผลได้ไม่มากนัก อาจจะต้องรอระยะเวลาอีกสักพักกว่านักพัฒนาจะทำการอัปเดตแอปให้รองรับรุ่นใหม่นี้
สรุป
iPad Pro M2 รุ่นใหม่นี้ยังคงเป็นตัวเลือกแท็บเล็ตประสิทธิภาพสูงที่ดีที่สุดของ Apple ในเวลานี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี โดยเฉพาะในรุ่น 12.9 นิ้ว ที่ให้ทั้งหน้าจอแสดงผลที่ใหญ่เต็มตา ความแม่นยำของสี การทำงานร่วมกับ Apple Pencil ได้อย่างลื่นไหล รองรับงานในระดับโปรได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับราคาของ iPad ที่ปรับตัวสูงขึ้น ถ้าใครกำลังใช้งาน iPad M1 อยู่แล้วกำลังลังเลว่าจะเปลี่ยนมาเป็น M2 ดีหรือไม่ แนะนำว่าด้วยความต่างที่ไม่มากนัก อาจจะยังไม่จำเป็นถ้าไม่ได้ทำงานวิดีโอ หรือใช้ฟีเจอร์อย่าง Hover แต่ถ้าได้ใช้งานก็ถือว่าคุ้ม
ส่วนในรุ่น iPad Pro 11” ต้องยอมรับว่ามีตัวเลือกที่ใกล้เคียงกันอย่าง iPad Air M1 ในราคาที่ย่อมเยากว่า ซึ่งถ้าไม่ได้ต้องการความ Pro ในการใช้งาน เน้นใช้งานทั่วไป อยากได้เครื่องแรงๆ ไว้เล่นเกม ดูหนัง พกพาได้ iPad Air น่าจะตอบโจทย์มากกว่า