การตัดสินใจยุติการผลิตรุ่น mini แล้วหันมาผลิตเป็นรุ่น Plus ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นใน iPhone 14 ธรรมดา ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งาน iPhone ที่อยากได้เครื่องจอใหญ่ แบตอึด ที่ไม่ได้เน้นในเรื่องของการถ่ายภาพมากนัก และที่สำคัญคือราคาจะไม่โหดร้ายเหมือนในรุ่น Pro Max ด้วย
iPhone 14 Plus จึงนับว่าเข้ามาตอบโจทย์ในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปที่ต้องการใช้งาน iPhone ที่ได้จอใหญ่ 6.7 นิ้ว เท่ากับรุ่น Pro Max แต่ในขณะเดียวกันตัวเครื่องยังเบากว่า 14 Pro ทำให้เวลาถือใช้งานนั้นไม่ได้รู้สึกว่าหนักจนเกินไป แลกกับแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า iPhone 14 และ iPhone 14 Plus ยังใช้ชิปเซ็ต A15 Bionic รุ่นเดิมกับที่เคยใช้ใน iPhone 13 Pro ไม่ได้ขยับขึ้นมาเป็น A16 Bionic เหมือน iPhone 14 Pro แต่ยังใช้งานได้ลื่นไหล และหน้าจอยังไม่ใช่ ProMotion 120Hz ถ้าใครที่ไม่ได้ซีเรียสกับจุดเหล่านี้ iPhone 14 นับเป็นสมาร์ทโฟนที่เปลี่ยนมาใช้ได้อย่างสบายใจ
ข้อดี
หน้าจอ OLED 6.7 นิ้ว โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเป็นรุ่น Pro Max
แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวๆ ตลอดวัน
การเชื่อมต่อรองรับทั้ง 5G, WiFi 6 และบลูทูธ 5.3
กล้องหน้า TrueDepth พร้อมออโต้โฟกัส
ข้อสังเกต
ถ้าเป็นรุ่น iPhone 14 จะปรับปรุงจาก iPhone 13 ไม่มากนัก
หน้าจอยังไม่เป็น 120 Hz
ระบบชาร์จเร็วยังอยู่ที่ 20W เช่นเดิม
ดีไซน์เดิม เน้นปรับปรุงภายใน
ในแง่ของดีไซน์ iPhone 14 ขนาด 6.1 นิ้ว นั้นแทบไม่แตกต่างจาก iPhone 13 มากนัก เหมือนเป็น iPhone 13s ก็ว่าได้ ปรับปรุงเลนส์กล้องหลักให้รับแสงได้มากขึ้นเป็น f/1.5 คู่กับเลนส์มุมกว้าง f/2.4 ในความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม ทำให้กรอบเลนส์กล้องมีขนาดใหญ่ขึ้น ไม่สามารถใช้เคสเดิมได้
เพิ่มเติมด้วยสีใหม่ในปีนี้ ที่นอกจากจะมีสีมิดไนท์ สตาร์ทไลท์ จะมีสีใหม่อย่างสีม่วง สีฟ้า และสีแดง (Product) RED ที่ในรุ่นของปีนี้มีความสดขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ โดยตัวเครื่องยังมากับแถบ (Notch) บนหน้าจอขนาด 6.1 นิ้วเช่นเดิม
กลับกันที่เป็นรุ่นใหม่อย่าง iPhone 14 Plus นั้นมีความน่าสนใจมากกว่า เพราะถือเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลมีตัวเลือกหน้าจอใหญ่สำหรับรุ่นธรรมดา ทำให้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 7,000 บาท เพื่อให้ได้ iPhone 14 Pro Max แต่ก็แลกมากับขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่เท่ากัน ดีขึ้นตรงที่เบากว่าทำให้ถือใช้งานได้นานขึ้น
ตัวเครื่องจะใช้วัสดุอะลูมิเนียมทำให้ได้ตัวเครื่องที่ค่อนข้างเบา เมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ โดยใช้กระจกแบบ Ceramic Shield ในด้านหน้า พร้อมกันน้ำกันฝุ่นที่ทนน้ำลึกได้ 6 เมตร 30 นาที ปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนของการระบายความร้อนด้วย
iPhone 14 Plus จะมากับหน้าจอ Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2278 x 1284 พิกเซล ให้ความละเอียดเม็ดสีที่ 458 ppi ความสว่างหน้าจอ 800 nits และเร่งขึ้นไปได้ถึง 1200 nits ในโหมด HDR เทียบเท่ากับจอของ iPhone 12 Pro Max
กล้องหน้าแบบ TrueDepth ที่ให้มาปรับปรุงขึ้นมาให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิม เพิ่มเติมด้วยออโต้โฟกัส ทำให้สามารถถ่ายในระยะใกล้ได้มากขึ้น รวมถึงการถ่ายวิดีโอในโหมด Cinematic จากกล้องหน้า ใครที่ชอบถ่ายเซลฟี่น่าจะถูกใจไม่น้อย
รอบตัวเครื่องยังมากับปุ่มเปิด-ปิดเสียง และปุ่มปรับระดับเสียงทางซ้าย รวมถึงถาดใส่นาโนซิมการ์ด ส่วนทางขวาเป็นปุ่มเปิด-ปิด หน้าจอ และเรียกใช้งาน Siri โดยมีพอร์ต Lightning ไว้เสียบชาร์จเช่นเดิม ที่สามารถชาร์จได้ 50% ใน 35 นาที จากอะแดปเตอร์ 20W
สำหรับในภาพรวมการเปลี่ยนแปลงนอกจากเรื่องของชิปเซ็ตที่เพิ่มจำนวน GPU Core ขึ้นมา 1 แกน ทำให้ประมวลผลกราฟิกแรงขึ้นเล็กน้อย และทำให้ iPhone 14 กับ iPhone 14 Plus ยังแรกกว่า Android รุ่นท็อปในตลาดเวลานี้ก็ว่าได้
ขณะที่ในส่วนของกล้อง จะได้โหมดถ่ายภาพแบบ Action Mode มาให้ช่วยในการถ่ายวิดีโอแบบกันสั่นที่ใช้เลนส์มุมกว้างในการเก็บภาพ และนำชิปเซ็ตมาช่วยเก็บเฟรมตรงกลางทำให้ได้วิดีโอที่นิ่งมากๆ ภายในจะมีเพิ่มเซ็นเตอร์ตรวจจับการชน (อุบัติเหตุ) หรือการเชื่อมต่อกับดาวเทียมเพิ่มมา (ยังใช้งานในไทยไม่ได้)
iPhone 14 - iPhone 14 Plus เหมาะกับใคร
เมื่อเห็นถึงจุดที่เปลี่ยนแปลงใน iPhone 14 เพิ่มด้วย iPhone 14 Plus ไปแล้ว ทีนี้คำถามที่ตามมือคือ ตำแหน่งในการทำตลาดของ iPhone 14 ซีรีส์นี้เหมาะกับใคร แน่นอนว่าถ้าใครใช้งาน iPhone 12 หรือ iPhone 13 อยู่ อาจจะยังไม่เหมาะมากนัก เพราะเครื่องเก่าอัป iOS 16 ขึ้นมาก็ยังใช้งานได้ดีอยู่ แล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากขนาดนั้น
ดังนั้น ทั้ง 2 รุ่นใหม่นี้จะเหมาะกับผู้ที่ใช้ iPhone รุ่นเก่าตั้งแต่ 11 ลงไป ที่มีแผนจะเปลี่ยนเครื่องอยู่แล้ว การเปลี่ยนมาใช้ iPhone 14 จะให้ประสบการณ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเรื่องของประสิทธิภาพ และคุณภาพของกล้องในการถ่ายวิดีโอที่เก็บรายละเอียดได้ดีมากๆ
ส่วนถ้าใครที่อยากได้เครื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงมากๆ จริงๆ อาจจะแนะนำให้ไปเลือกใช้งาน 14 Pro หรือ 14 Pro Max แทน ที่จะได้ทั้งหน้าจอแบบติดตลอดเวลา มี Dynamic Island ให้ใช้งาน และกล้องที่ให้มาในระดับโปรกว่า ซึ่งแน่นอนว่าต้องแลกกับราคาที่แพงขึ้นด้วย
อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ การซื้อ iPhone 14 Plus ให้ผู้สูงอายุใช้งาน เพราะด้วยการที่มีหน้าจอใหญ่มากๆ ทำให้สามารถใช้งานได้สะดวก และในขณะเดียวกันสิ่งที่ได้ตามมาคือเรื่องของแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานตลอดวันสบายๆ
รวมถึงการที่ตามปกติแล้ว iOS ของ Apple สามารถอัปเกรดได้ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5 ปี ดังนั้น ถ้าใครกำลังมองหาสมาร์ทโฟนสักเครื่องที่จ่ายครั้งเดียวแล้วใช้งานได้ยาวๆ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ ทุก 2-3 ปี ทั้ง iPhone 14 และ iPhone 14 Plus จะกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาทันที
เบื้องต้น iPhone 14 วางจำหน่ายในราคา 32,900 บาท ในขณะที่ iPhone 14 Plus เริ่มต้นที่ 37,900 บาท โดย 14 Plus จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคมนี้