xs
xsm
sm
md
lg

Review รีวิวสินค้าไอที สมาร์ทโฟน โน้ตบุ๊ก

x

Review : iPhone 13 - iPhone 13 Pro Max หลังใช้งานครบ 1 เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความประทับใจหลักๆ ที่เกิดขึ้นบนทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro max หลักๆ แล้วคือเรื่องของแบตเตอรีที่ใช้งานได้นานขึ้นกว่ารุ่นเดิมมาก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผลมาจากชิปเซ็ตใหม่อย่าง Apple A15 Bionic ที่ช่วยให้เครื่องแรงขึ้น ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังงานต่ำลง

ถัดมาในส่วนของ iPhone 13 Pro Max มีจุดที่โดดเด่นหลักๆ คือเรื่องของหน้าจอ Super Retina XDR ที่มากับ ProMotion ทำให้การใช้งานลื่นไหลขึ้น รวมกับกล้องหลักทั้ง 3 เลนส์ ที่รองรับการถ่ายภาพกลางคืนเรียบร้อยแล้ว จนถึงการถ่ายวิดีโอที่ดีขึ้น

ขณะที่ iPhone 13 นับว่ารองรับการใช้งานของคนทั่วไปได้ครบถ้วน กล้องหลักคู่ที่ให้มาทั้งมุมปกติ และมุมกว้าง คุณภาพที่ได้ถือว่าสูงอยู่แล้ว และยังมีขนาดที่จับใช้งานได้พอดีมือ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นรุ่นที่ขายดีในซีรีส์นี้เช่นเดิม

ข้อดี
Apple A15 Bionic ที่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น
รองรับ 5G พร้อมใส่ eSIM คู่ใช้งานได้
คุณภาพของกล้องภาพนิ้ง และวิดีโออยู่ในระดับดีเยี่ยม
iPhone 13 Pro และ Pro Max มากับ ProMotion ให้ใช้งาน

ข้อสังเกต
การชาร์จแบตเตอรียังใช้เวลาค่อนข้างนาน (ราว 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง)
iPhone 13 ยังมีข้อจำกัดในการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes ที่ให้มาเฉพาะในรุ่น Pro เท่านั้น
iPhone 13 หน้าจอยังไม่เป็น ProMotion
iPhone 13 Pro Max ขนาดตัวเครื่องใหญ่ และหนักขึ้น
เวลาใช้งานหนักๆ ตัวเครื่องยังสะสมความร้อน จะลดความสว่างหน้าจอลง

แชร์ประสบการณ์หลังใช้งาน


หลังจากแกะกล่องพร้อมแนะนำสิ่งใหม่ๆ ของทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ไปแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะอยากทราบถึงประสบการณ์ใช้งาน หลังผ่านมาราว 1 เดือน ว่าการที่ย้ายจาก iPhone 12 มาเป็น iPhone 13 จะให้ความรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง

แน่นอนว่าอย่างที่แนะนำไปตั้งแต่ต้นว่า กรณีที่เป็นคนใช้งาน iPhone อยู่แล้ว ถ้ายังใช้งาน iPhone 11 หรือ iPhone 12 อยู่การเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone 13 อาจยังไม่ใช่ตัวเลือกที่คุ้มค่ามากนัก แต่ถ้ามองในแง่ของประสบการณ์ใช้งานที่ได้ ก็มีจุดที่เปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างได้อย่างน่าสนใจ

ส่วนถ้าใช้งาน iPhone X หรือ iPhone 8 อยู่แล้วสนใจที่จะเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone 13 หรือมีแผนจะซื้อเครื่องใหม่อยู่แล้ว เชื่อว่า iPhone 13 จะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี

จอสว่าง - แบตเตอรีอึดขึ้น


ในการใช้งาน iPhone หลายคนน่าจะเคยเจอปัญหาเวลาออกไปอยู่ในที่แสงจัดๆ แล้วกลายเป็นว่ามองหน้าจอไม่ค่อยเห็น การที่ทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max สามารถดันความสว่างหน้าจอสูงสุดไปอยู่ที่ 1,200 นิต ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี

ช่วยให้เราสามารถใช้งานจอ โดยเฉพาะการถ่ายภาพนิ่ง หรือวิดีโอกลางแสงแดดจ้าๆ ให้มองเห็นจอได้ชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การดันความสว่างสูงสุดของจอก็มีข้อจำกัดพอสมควร เพราะเมื่อตัวเครื่องร้อนมากๆ iOS จะทำการปรับความสว่างของหน้าจอลงเพื่อรักษาหน้าจอ ทำให้ใช้ความสว่างได้เต็มที่ประมาณ 80% เท่านั้น

โดยเฉพาะในการใช้งาน iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ที่มากับการแสดงผลแบบ ProMotion ที่ช่วยให้การแสดงผลหน้าจอในการใช้งานหลายๆ แอปพลิเคชันมีความลื่นไหลมากขึ้น หลายๆ เกมเริ่มอัปเกตดให้รองรับการแสดงผลที่ 120 Hz แล้วเช่นเดียวกัน


ถัดมาในส่วนของแบตเตอรีที่อึดขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่แอปเปิล เพิ่มปริมาณแบตเตอรีเข้ามาในตัวเครื่อง โดย iPhone 13 มากับแบตเตอรีขนาด 3,227 mAh ในขณะที่ iPhone 13 Pro Max เพิ่มขึ้นมาเป็น 4,352 mAh เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจออยู่ที่ 2,815 และ 3,687 เรียกได้ว่าเพิ่มมาราว 15% เลยทีเดียว

นั่นทำให้การใช้งานของทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ใช้งานได้ยาวนานขึ้น เมื่อรวมกับการประหยัดพลังงานของทั้ง iOS 15 และชิปเซ็ต A15 Bionic ยิ่งทำให้การชาร์จแบตครั้งเดียว พอใช้งานไปทั้งวันอยู่แล้ว

สิ่งที่พิเศษอีกอย่างก็คือใน iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max จะรองรับการชาร์จเร็วที่ราว 20W ทำให้สามารถใช้งานอะเดปเตอร์ (ที่ต้องซื้อเพิ่ม) 20W ในการชาร์จเร็วได้ โดยสามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 30-35 นาที

ก่อนที่จะชาร์จจนเต็มในระยะเวลาราว 1.30 ชั่วโมง ถึงเกือบๆ 2 ชั่วโมง เนื่องจากเมื่อชาร์จแบตเตอรีถึง 80% แล้วด้วย iOS จะมีการจำกัดปริมาณไฟที่เข้าเครื่องเพื่อลดการสะสมความร้อน และช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรีด้วย

ในจุดนี้ ใครที่เพิ่งซื้อ iPhone มาใช้งานแล้วสังเกตว่าเวลาชาร์จทิ้งไว้ แบตเตอรีจะอยู่ที่ราว 80% นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากโหมดป้องกันแบตเตอรีที่แอปเปิลตั้งไว้เป็นค่าเริ่มต้น โดยจะศึกษาพฤติกรรมการใช้งานของเราว่า เมื่อเสียบชาร์จทิ้งไว้ทั้งคืน จะถอดสายชาร์จในช่วงประมาณกี่โมง เพื่อค่อยๆ ชาร์จให้เต็มในเวลานั้นแทน


ประสิทธิภาพเกินใช้งาน


ถ้ามองในแง่ของประสิทธิภาพการใช้งานทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max ที่มากับชิปเซ็ต Apple A15 Bionic นั้น เพียงพอกับการใช้งานอยู่แล้ว แต่จะมีจุดต่างเพิ่มเติมระหว่างรุ่นปกติ และรุ่นโปร นิดหน่อยคือเรื่องของการประมวลผลภาพ (GPU) ที่ในรุ่นโปรจะเลือกใช้แบบ 5 คอร์ ในขณะที่รุ่นปกติจะเป็นแบบ 4 คอร์

ส่วนที่ทำให้เห็นจุดต่างของการประมวลผลทั้ง 2 รุ่นหลักๆ เลยคือการประมวลผลภาพหลังจากการถ่ายภาพนิ่ง หรือภาพวิดีโอ ที่จะเห็นได้ว่า iPhone 13 Pro Max จะโปรเสสภาพได้เร็วกว่าเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้ว iPhone 13 ก็ทำงานได้รวดเร็วอยู่แล้ว

ดังนั้น ถ้าถามถึงประสิทธิภาพในการใช้งานเชื่อว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะส่วนใหญ่แล้วในการใช้งานจะถูกควบคุมด้วย iOS ที่ค่อนข้างสเถียรอยู่แล้ว ถ้าไม่ได้นำไปใช้งานอย่างตัดต่อวิดีโอในเวลาที่รีบๆ การประมวลผลของ A15 Bionic เรียกว่าเหลือๆ

แน่นอนว่ารวมถึงการนำไปเล่นเกมด้วย เพราะอย่างเกมที่กินสเปกโหดๆ อย่าง Genshin Impact ถ้าปรับความละเอียดสูงสุด และอัตราการแสดงผลเป็น 120 Hz ก็ยังสามารถเล่นได้ลื่นอยู่ เพียงแต่ตัวเครื่องจะร้อนค่อนข้างเร็ว เมื่อเทียบกับปรับความละเอียดธรรมดา


กล้องที่คมชัด และฉลาดขึ้น


จุดสำคัญที่ทำให้ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro น่าสนใจขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าทั้งหมดคือเรื่องของการถ่ายภาพ โดยเฉพาะในรุ่น Pro ที่ในปีนี้ทั้ง iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max ได้ความสามารถของกล้องมาเท่ากัน

ส่วนหลักเลยคือการใช้เซ็นเซอร์ของกล้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับการที่ชิป A15 Bionic รองรับการประมวลผลแบบ Neural Engine ได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ช่วยประมวลผลภาพที่ได้ออกมาได้เนียนมากยิ่งขึ้น


สำหรับกล้องหลักของ iPhone 13 จะมากับกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล โดยกล้องมุมปกติจะให้ f/1.6 ส่วนมุมกว้างจะเป็น f/2.4 สามารถซูมออปติคัลได้ 2 เท่า

ในขณะที่ iPhone 13 Pro Max มากับกล้อง 3 ระยะความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเช่นกัน โดยเลนส์ปกติได้ f/1.5 เลนส์มุมกว้าง f/1.8 และเลนส์เทเลโฟโต้ f/2.8 จุดที่เพิ่มขึ้นมาคือระยะซูมแบบออปติคัลเพิ่มเป็น 3 เท่า ซูมได้สูงสุด 6 เท่า และรองรับการถ่ายภาพวิดีโอแบบ Apple ProRAW ด้วย


สิ่งที่ iPhone 13 Pro Max เป็นที่ชื่นชอบของครีเอเตอร์ และช่างภาพวิดีโอหลายๆ คนคือเรื่องของการที่ทำระบบกันสั่นมาได้เป็นอย่างไร เพราะสามารถกันสั่นได้ในทุกระยะเลนส์ที่ใช้งาน เช่นเดียวกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ที่เพิ่มให้โหมดกลางคืนสามารถใช้งานได้ทุกระยะเลนส์แล้วเช่นกัน

ความโดดเด่นของโหมดกล้องที่เพิ่มเข้ามาใน iPhone 13 คือเรื่องของการถ่าย Cinematic หรือโหมดภาพยนต์ที่เราสามารถถ่ายวิดีโอแบบเลือกจุดโฟกัสในภาพได้ ด้วยการนำความสามารถของชิป A15 มาช่วยในการประมวลผล

การแก้ไขจุดโฟกัสหลังจากถ่ายวิดีโอใน Cinematic Mode
ที่สำคัญคือเมื่อถ่ายเสร็จแล้ว กรณีที่ต้องการเปลี่ยนจุดโฟกัสที่หลังก็สามารถทำได้ในส่วนของการตัดต่อ ช่วยให้การสร้างวิดีโอคอนเทนต์ทำได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้สนุกไปกับการถ่ายวิดีโอ

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มฟิลเตอร์ หรือ “สไตล์ถ่ายภาพ” ที่เปิดให้เราสามารถปรับเลือกความเข้ม ความสดของสี เพื่อให้ได้โทนภาพแบบที่ต้องการเวลาถ่ายเลย หรือจะเลือกปรับทีหลังก็ได้เช่นกัน

ภาพมาโครจาก iPhone 13 Pro
จุดต่างอีกอันที่น่าสนใจใน iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max คือมาพร้อมโหมดถ่ายภาพมาโครที่สามารถเก็บรายละเอียดได้เป็นอย่างดี ทำให้ได้ภาพในมุมมองใหม่ที่น่าสนใจ แม้ว่าแอนดรอยด์หลายรุ่นจะทำได้นานแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตามในเฟิร์มแวร์ iOS 15.1 ที่อัปเดตออกมา เปิดให้ผู้ใช้สามารถเลือกปิดการสลับโหมดมาโครโดยอัตโนมัติได้แล้ว จากเดิมที่พบปัญหาเลนส์ชอบสลับไปมาเวลายื่นเข้าใกล้วัตถุที่จะถ่ายทำให้การถ่ายมาโครกับบางวัตถุไม่สามารถทำได้ จากระยะที่ใกล้เกินไป


หนักขึ้น และยังไม่มีสแกนลายนิ้วมือ


อย่างที่เกริ่นไปแต่เริ่มต้นว่า ขนาดที่เหมาะสมในการถือใช้งานของ iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ อยู่ที่ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro ที่มากับขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว มากกว่า ในขณะที่ iPhone 13 Pro Max ที่ให้จอมาใหญ่ 6.7 นิ้ว แต่ก็แลกมากับแบตเตอรีที่ใหญ่ขึ้น และตัวเครื่องที่หนักขึ้นเป็น 238 กรัม

แม้ว่าจากตัวเลขของ iPhone 12 Pro Max เดิมน้ำหนักจะอยู่ที่ 226 กรัม พอเพิ่มมาเป็น 238 กรัมจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ความรู้สึกหลักถือใช้งานนานๆ จะพบว่าเมื่อยกว่าเดิม โดยเฉพาะเวลาใส่ใช้งานร่วมกับเคส

ดังนั้นถ้าไม่ได้จำเป็นจริงๆ iPhone 13 และ iPhone 13 Pro น่าจะตอบโจทย์ในการพกใช้งานมากกว่า แต่ถ้าอยากได้จอใหญ่และงบประมาณไม่ใช่ข้อจำกัดการเลือก iPhone 13 Pro Max มาใช้งายยาวๆ ก็ไม่ผิดอะไร


ประเด็นถัดมาคือในส่วนของการปลดล็อกตัวเครื่อง แม้ว่าตัว iPhone 13 ซีรีส์ของปีนี้ จะมีการพัฒนา FaceID ให้เล็กลง เพิ่มพื้นที่การแสดงผลมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้วในยุคที่ยังต้องใส่หน้ากากเวลาออกไปข้างนอกอยู่ การปลดล็อกด้วย FaceID ก็ยังไม่สะดวกเหมือนเดิม

แม้ว่า Apple จะเพิ่มวิธีการปลดล็อกเมื่อใช้งานร่วมกับ Apple Watch มาให้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มี Apple Watch และก็ไม่ใช่นาฬิกาเรือนเดียวที่ใส่ในทุกๆ วัน ดังนั้นจึงน่าเสียดายไม่น้อยที่ Apple ยังไม่นำเทคโนโลยีอย่างสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ หรือบริเวณปุ่มเปิดเครื่องมาใช้

ความสามารถที่ยังครบ


ในส่วนของภาพรวมการใช้งานด้านอื่นๆ ต้องยอมรับว่า iPhone 13 ทำออกมาได้ตอบโจทย์การใช้ในชีวิตประจำวันอย่างการทนน้ำ IP68 ที่ได้ถึงระดับความลึก 6 เมตร สูงสุด 30 นาที ใครที่ชอบเช็ดทำความสะอาด หรือนำเครื่องไปล้างบ่อยๆ ในช่วงนี้ก็ไม่ต้องกังวล

อีกอย่างก็คือการใช้งาน MagSafe ที่เริ่มมีอุปกรณ์ให้ใช้งานหลากหลายขึ้น โดยเฉพาะฟีเจอร์การชาร์จที่สามารถแปะเครื่องติดไปได้เลย ทำให้สะดวกเวลาวางชาร์จทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน หรือเวลาใช้นำทางในรถยนต์เป็นต้น

สรุป

iPhone 13 ยังคงเป็นตัวเลือกของ iPhone ที่ดีที่สุดในปีนี้ เมื่อเทียบกับระดับราคาเริ่มต้นที่ 29,990 บาท หรือถ้าใครที่ชื่นชอบเครื่องขนาดเล็ก iPhone 13 mini ของปีนี้ ที่เริ่มต้น 25,900 บาท กับแบตเตอรีที่ใช้งานได้นานขึ้นกว่าเดิม ก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน

ส่วนใครที่งบประมาณไม่จำกัด หรือสนใจใช้งานกล้องระดับโปร เชื่อว่าด้วยคุณภาพของงานที่ได้จากทั้งภาพนิ่ง และภาพวิดีโอของ iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max น่าจะตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการบันทึกวิดีโอร 4K แบบ ProRAW (เฉพาะรุ่น 256 GB ขึ้นไป)














กำลังโหลดความคิดเห็น