นับเป็นรุ่นที่ 10 แล้วของผลิตภัณฑ์ในตระกูล Samsung Galaxy Note ที่เริ่มทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน 2020 ทำให้ Samsung Galaxy Note20 ซีรีส์ ถือเป็นรุ่นที่ 10 ของทางซัมซุงก็ว่าได้
Samsung Galaxy Note20 ซีรีส์ เปิดตัวมาด้วยกันทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกันคือ Galaxy Note20 และ Galaxy Note20 Ultra โดยมีความแตกต่างกันอยู่หลายจุดพอสมควร
เริ่มกันจากขนาดหน้าจอ Note20 มากับขนาดหน้าจอ 6.7 นิ้ว ความละเอียด FullHD+ Refresh Rate อยู่ที่ 60 Hz ในขณะที่ Note20 Ultra มากับหน้าจอขนาด 6.9 นิ้ว ความละเอียด WQHD+ ที่ปรับ Refresh Rate ได้สูงสุด 120 Hz
ตามด้วยในส่วนของกล้องหลัง Note20 มากับกล้อง 3 เลนส์ แบ่งเป็นกล้องหลักความละเอียด 64 ล้านพิกเซล ตามด้วยเลนส์มุมกว้าง และเลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
ส่วน Note20 Ultra มากับกล้องหลัก 108 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง เลนส์เทเลโฟโต้ ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล เพิ่มเติมด้วยเลเซอร์โฟกัส ที่ช่วยให้สามารถจับภาพวัตถุได้อย่างรวดเร็ว
ทั้ง 2 รุ่นให้กล้องหน้าความละเอียดเท่ากันที่ 10 ล้านพิกเซล มาในรูปแบบเจาะรู Infinity-O เหมือนใน Galaxy S20 ซีรีส์ ที่เปิดตัวไปในช่วงต้นปี เช่นเดียวกับหน่วยประมวลผลที่ใช้งานเป็น Exynos 990 รุ่นเดียวกันด้วย
จุดเด่นของโหมดกล้องที่เพิ่มเข้ามาใน Note20 Ultra ซึ่งนอกจากรองรับการถ่ายภาพนิ่งซูมได้ 50 เท่า วิดีโอความละเอียด 8K 24fps ในสัดส่วน 21:9 และฟีเจอร์การซูมให้ลื่นไหลแบบ Precision Control Adjustable Zoom Speed
ใน Pro Mode ยังเพิ่มความสามารถของการเชื่อมต่อกับไมค์แยกผ่านบลูทูธได้ด้วย ทำให้สามารถใช้หูฟังไร้สายแทนไมค์ลอยได้ทันที โดยผู้ใช้สามารถเลือกปรับได้ว่าจะให้บันทึกเสียงจากแหล่งใด
รายละเอียดอื่นๆ ที่น่าสนใจของทั้ง 2 รุ่น คือ Note20 มากับแบตเตอรีขนาด 4,300 mAh ส่วน Note20 Ultra ให้แบตเตอรี 4,500 mAh ตัวเครื่องรองรับการชาร์จเร็ว 25W ที่สามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 30 นาที และยังรองรับ Wireless Charge 15W และใช้เป็นแท่นชาร์จไร้สายให้อุปกรณ์อื่นได้เช่นเดิม
S-Pen ตวัดควบคุมได้หลากหลายขึ้น
ต่อกันด้วยรายละเอียดของปากกา S-Pen ที่ในรุ่นนี้ถูกปรับช่องใส่ปากกามาอยู่ทางซ้ายล่างเครื่องแทน จากเดิมที่อยู่ทางขวาล่าง ที่ไม่สามารถอยู่ที่เดิมได้เนื่องจากโมดูลกล้องมีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้ต้องเปลี่ยนช่องเก็บ S-Pen มาไว้ที่มุมซ้ายแทน
ความแม่นยำของ S-Pen ใน Note20 ถือว่ามีพัฒนาการขึ้นทั้ง 2 รุ่น โดยใน Note20 จะมีค่าความหน่วงอยู่ราว 26ms ในขณะที่ Note20 Ultra อยู่ที่ 9ms ซึ่งเมื่อเทียบกับ Note10 ที่ 42ms แปลว่าทั้ง 2 รุ่นตอบสนองได้เร็วขึ้น
ถัดมาคือการเพิ่มฟีเจอร์ใน Air Actions จากเดิมใน Note10 ผู้ใช้สามารถควงปากกาไปข้างหน้า-หลัง เพื่อเลื่อนสไลด์ หรือเปลี่ยนเพลง กับใช้ปุ่มบน S-Pen แทนชัตเตอร์กล้องถ่ายภาพ
พอมาเป็นใน Note20 จะควบคุมได้หลากหลายขึ้น โดยเริ่มจากกดปุ่มที่ปากกาค้างแล้ว และสะบัด S-Pen ไปมา ได้ทั้งย้อนกลับ กลับสู่หน้าหลัก เลื่อนไปหน้าสุด เลือกสิ่งที่ต้องการ และวาดซิกแซกเพื่อเข้าสู่โหมดจดบันทึกบนหน้าจอเป็นต้น
ขณะเดียวกัน เพื่อให้การทำงานต่อเนื่อง ทาง Samsung ได้พัฒนา Notes ให้สามารถแอปแปลงเอกสาร ไปเป็นไฟล์ PowerPoint ด้วยความร่วมมือกับทางไมโครซอฟท์ ซึ่งช่วยเปิดให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย
พร้อมกับเพิ่มฟีเจอร์ในการจดบันทึกพร้อมอัดเสียง การแปลงลายมือเป็นตัวอักษร พร้อมจัดเรียงได้มากขึ้น จนถึงการจัดหมวดหมู่ไฟล์เอกสารที่บันทึกไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการทำงานมากขึ้น
Wireless DeX เปลี่ยนจอโทรทัศน์ให้กลายเป็นอุปกรณ์ทำงาน
ที่ผ่านมา Samsung นำเสนอ Samsung DeX ในลักษณะของการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Galaxy เข้ากับจอภาพผ่านสาย USB เพื่อเปิดโหมดการทำงานในลักษณะคอมพิวเตอร์
แต่ด้วยความสามารถใหม่ของ Note20 ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อ Note20 เข้ากับหน้าจอ ก็สามารถใช้งาน DeX ได้ ด้วยการเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ททีวีที่รองรับ Miracast และยังสามารถเชื่อมต่อกับคีย์บอร์ด และเมาส์ ไร้สายเพื่อควบคุมได้ทันที
ประโยชน์ในส่วนนี้คือช่วยให้เวลาต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ จากเดิมที่ต้องพกโน้ตบุ๊ก ไปใช้งานด้วย แต่ถ้าไปในสถานที่ที่มีอุปกรณ์อย่างจอโทรทัศน์พร้อมให้เชื่อมต่อ ก็สามารถแปลงทุกๆ จอให้กลายเป็นคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานได้
นอกจาก Wireless DeX แล้ว ซัมซุง ยังนำเสนอการเชื่อมต่อ Note20 เข้ากับคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 10 ผ่าน Link to Windows ที่พัฒนาขึ้นช่วยให้สามารถสั่งงาน Note20 จากบนหน้าจอคอม โดยจะทยอยเปิดให้ใช้งานในช่วงปลายปีนี้
จอ 120 Hz เฉพาะ Note20 Ultra
สำหรับผู้ที่ต้องการสมาร์ทโฟนที่แสดงผลลื่นไหล อาจจะต้องมองข้าม Note20 ไปที่ Note20 Ultra แทน เนื่องจากรุ่นที่รองรับ Refresh Rate แบบ 120 Hz จะมีเฉพาะรุ่น Note20 Ultra เท่านั้น
โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Adapt to Content ที่จะช่วยปรับ Refresh Rate ให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละประเภท อย่างถ้าเปิดหนังสืออ่านจอจะปรับอัตรารีเฟรชลงไปที่ 10 Hz ถ้าดูหนังจะเพิ่มเป็น 24 Hz และเร่งเป็น 30 - 120 Hz เมื่อเล่นเกมเป็นต้น
ซัมซุง ระบุว่า การเปิด Adapt to Content จะช่วยประหยัดแบตเตอรีได้เพิ่มขึ้นถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที เมื่อเทียบกับการเปิดหน้าจอแบบ 120 Hz ตามปกติ และยังมีการปรับปรุงในเรื่องของความสว่างหน้าจอให้เพิ่มขึ้นเป็นสูงสุดที่ 1500 nit ด้วย
สี และรุ่นที่จำหน่ายในไทย
เพื่อให้ครอบคลุมผู้ใช้งานที่หลากหลายทำให้ในปีนี้ Samsung เลือกนำ Note20 และ Note20 Ultra เข้ามาหลากหลายรุ่นย่อย โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นที่รองรับ 4G LTE และ รุ่นที่รองรับ 5G สำหรับผู้ที่ต้องการใช้งาน
เริ่มกันจาก Note20 วางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมด 3 สี คือ Mystic Gray Mystic Bronze Mystic Green มีให้เลือกสเปกคือ RAM 8 GB ROM 256 GB และ 512 GB
ส่วน Note20 Ultra มีให้เลือก 2 สีคือ Mystic Black และ Mystic Bronze ในรุ่น 4G LTE จะเป็นสเปก RAM 8 GB ROM 256 GB และ 512 GB ส่วนรุ่น 5G จะเป็น RAM 12 GB เลือกได้ระหว่าง ROM 256 GB และ 512 GB เช่นกัน