แม้จะมีภาพหลุดออกมาก่อนหน้านี้เรื่อยๆ จนทำให้สมาร์ทโฟนที่เป็นแฟลกชิปของซัมซุง (Samsung) ในตระกูล Galaxy S ไม่ได้สร้างความรู้สึกว้าวแก่ผู้ชม ที่รอคอยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นนี้ แต่ด้วยความที่ Galaxy S9 และ S9+ นั้น มีจุดเด่นอื่นที่โดดขึ้นมา และทำให้กลายเป็นสมาร์ทโฟนที่ครบเครื่องสุดในตลาดตอนนี้ก็ว่าได้
โดยจุดเด่นหลักที่ถูกอัปเกรดเพิ่มขึ้นมาจากใน Galaxy S8 จะมีในเรื่องของกล้องที่ใช้เซ็นเซอร์ใหม่ที่เรียกว่า Super Speed Dual Pixel บนเลนส์หลักที่ให้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมระบบกันสั่น OIS และทีเด็ดคือ ปรับรูรับแสงได้ ระหว่าง f/1.5 และ f/2.4 ซึ่งตัวเครื่องจะปรับให้อัตโนมัติ เมื่อถ่ายในโหมดออโต้ โดยจะวัดจากสภาพแสงขณะถ่ายภาพ
ส่วนถ้าปรับมาใช้งานในโหมดมืออาชีพ หรือโหมดโปร (Pro) ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะถ่ายบนรูรับแสง f/1.5 หรือ f/2.4 ได้ รวมกับฟังก์ชันเดิมอย่างการปรับสปีดชัตเตอร์ ต่ำสุดที่ 10 วินาที ISO เริ่มต้นที่ 50 และการเลือกจุดโฟกัส ปรับ White Balance ได้ตามปกติ
ความสามารถดังกล่าวจะมีให้ใช้ทั้งบน S9 และ S9+ เพียงแต่ถ้าเป็น S9+ จะเพิ่มความพิเศษด้วยการมีกล้องคู่ Dual Camera เหมือนใน Galaxy Note 8 พร้อมยกความสามารถมาครบทั้ง Dual OIS (กันสั่นทั้ง 2 เลนส์) Dual Capture (ถ่ายภาพทั้งมุมกว้างและมุมแคบ) Live Focus (ทำฉากหลังเบลอ และเลือกโบเก้ได้) ส่วนบน S9 ก็สามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลอได้จากโหมด Selective Focus
ความสามารถของกล้องที่ ซัมซุง ระบุว่าเพิ่มขึ้นคือเรื่องของ Super Speed Dual Pixel ที่เมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อย นอกจากใช้จุดเด่นของ f/1.5 แล้ว ยังใช้การบันทึกภาพพร้อมกัน 4 ภาพ ทั้งหมด 3 ชุด (รวม 12 ภาพ) มาประมวลผลเพื่อลดนอยซ์บนรูป ทำให้เมือเทียบกับ S8 แล้วจะลดนอยซ์ได้ถึง 30%
นอกจากนี้ ก็จะเพิ่มความสามารถในการถ่าย Super Slow Motion เป็น 960fps ซึ่งมาพร้อมระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวอัตโนมัติ และแปลงภาพดังกล่าวเป็นไฟล์ GIF เพื่อแชร์ได้ทันที ส่วนกล้องหน้าที่ให้มาจะเป็นกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/1.7 เหมือนกับ Note 8 ที่วางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้
AR Emoji กลายเป็นฟีเจอร์ใหม่ ฟีเจอร์เดียวที่สร้างความน่าสนใจให้แก่ Galaxy S9 และ S9+ โดยใช้การถ่ายภาพใบหน้า เพื่อสร้างเป็นตัวการ์ตูน ที่จะมีการขยับใบหน้า และเคลื่อนไหวตามการขยับโครงหน้า ที่สามารถใช้งานได้ทั้งกล้องหน้า และหลัง โดยทำงานร่วมกับระบบตรวจจับใบหน้านั่นเอง
เพียงแต่ความแม่นยำของ AR Emoji ที่ใช้เลนส์กล้องจับความเคลื่อนไหว อาจจะไม่เนียนเท่ากับ Animoji บน iPhone X ที่ใช้เซ็นเซอร์พิเศษในการตรวจจับการเคลื่อนไหวของใบหน้าเข้ามาช่วย
อีกจุดที่มีการปรับปรุงคือเรื่องของระบบรักษาความปลอดภัย ที่ซัมซุงยังคงใช้ทั้ง Iris Scan และ Face Recognition ซึ่งพัฒนาขึ้นมาเป็นระบบ Intelegence Scan ที่ตัวเครื่องจะเลือกปลดล็อกอย่างใดอย่างหนึ่งให้ ตามสภาพแสง และเมื่อใช้งานแอปที่ต้องการความปลอดภัยก็จะสแกนทั้ง 2 ชนิดพร้อมกัน เพิ่มเติมจากเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือปกติ
ที่เหลือก็จะเป็นการนำฟีเจอร์ในรุ่นก่อนหน้าอย่าง App Pair มาช่วยในการใช้งานแบบ Split Screen หรือการแบ่งครึ่งหน้าจอ ในด้านเสียงได้รับการปรับแต่งจาก AKG และทำให้รองรับสเตอริโอเรียบร้อยแล้ว
ในส่วนของสเปกภายในของ S9 และ S9+ ที่ใช้หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ของ Samsung Exynos 9810 ซึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ บนสถาปัตยกรรม 10 นาโนเมตร ที่เป็น Quad Core 2.9 GHz + Quad Core 1.9 GHz นอกจากเรื่องของการประมวลผลที่แรงขึ้นแล้ว
ยังมีในแง่ของเครือข่ายที่รองรับ 4G แบบ 6 CA ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุด 1.2 Gbps อัปโหลดสูงสุด 200 Mbps ไม่นับรวม WiFi มาตรฐาน a/b/g/n/ac 2.4+5 GHz MU-MIMO Bluetooth 5.0 GPS A-GPS ที่ใส่มาให้แบบเต็มสุดๆ
เมื่อดูถึงการออกแบบของ Galaxy S9 และ S9+ จะเหมือนกับใน Galaxy S8 และ S8+ แบบถ้าวางหันหน้าขึ้น ดูผ่านๆก็คงแยกไม่ออก แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ ซัมซุง เพิ่มมากลับทำให้ดีไซน์ของเครื่องรุ่นนี้สมบูรณ์มากขึ้น
สำหรับขนาดของ Galaxy S9 จะอยู่ที่ 147.7 x 68.7 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 163 กรัม ส่วน Galaxy S9+ จะอยู่ที่ 158.1 x 73.8 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 189 กรัม จะเห็นได้ว่าตัวเครื่องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากตอน Galaxy S8 พอสมควร เนื่องจากเปลี่ยนมาใช้วัสดุที่แข็งแรงขึ้นอย่างอะลูมิเนียม ซีรีส์ 7000
ทีนี้ ถึงเวลาไล่ตั้งแต่ขอบจอ บนและล่างของเครื่อง ซัมซุง มีการเพิ่มฟิลม์สีดำที่เรียกว่า Black Bazel เข้ามาอีกชั้น ทำให้ด้านหน้าของตัวเครื่องดูดำสนิทมากขึ้น ตรงกลางยังคงเป็น Infinity Display ในสัดส่วน 18.5 : 9 เช่นเดิม ในขนาดหน้าจอ 5.8 นิ้ว และ 6.2 นิ้ว
ส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงจาก S8 และ S8+ เลยก็คือการวางเลย์เอาท์ของกล้องหลัง กับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ จากเดิมที่วางไว้ข้างๆกัน ทำให้เวลาใช้งาน เมื่อปลดล็อกตัวเครื่องอาจจะไปโดนเลนส์ทำให้สกปรกได้ ก็เลยจับเซ็นเซอร์มาไว้ข้างล่างเลนส์แทน
ที่เหลือรอบๆตัวทั้งด้านซ้ายที่เป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ปุ่มเรียกใช้งาน Bixby ทางด้านขวาที่เป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ด้านบนที่มีช่องใส่ซิม (เป็นไฮบริดเช่นเดิม นาโนซิม + ไมโครเอสดีการ์ด) ด้านล่าง ก็จะเป็นพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องเสียบหูฟัง และลำโพง
แน่นอนว่าตัวเครื่องยังรองรับการใช้งาน Samsung DeX ที่ออกรุ่นใหม่มาเป็น DeX Pad ที่วางเครื่องให้เชื่อมต่อในแนวนอน ทำให้สามารถใช้ S9 หรือ S9+ แทนทัชแพดในการควบคุมหน้าจอได้ เสริมขึ้นจากรุ่นเดิมที่เสียบไว้เฉยๆ
ประกอบกับก่อนหน้านี้ ซัมซุง ได้มีการเปิดตัวอีโคซิสเตมส์ของอุปกรณ์ IoT ร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในชื่อ SmartThing บน Samsung Galaxy S9 และ S9+ ก็รองรับการใช้งาน และถือเป็นการสร้างระบบนิเวศน์ของซัมซุงที่น่าสนใจ
แต่ที่เซอร์ไพรส์ที่สุดคงหนีไม่พ้นการที่ไทย กลายเป็นประเทศ Tier 1 ของการวางจำหน่าย Samsung Galayx S9 และ S9+ โดยจะเริ่มเปิดให้ลูกค้าสั่งของจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ถึง 5 มีนาคม 2561โดยจะได้สิทธิ์รับเครื่องก่อนใคร ระหว่างวันที่ 9 – 11 มีนาคม 2561
พร้อมข้อเสนอพิเศษ รับประกันหน้าจอแตกนาน 1 ปี และฟรีแท่นชาร์จไร้สายแบบ Fast Charge (Wireless Charger Convertible) มูลค่า 2,090 บาท และลูกค้าสามารถร่วมโปรโมชันเก่าแลกใหม่ โดยนำสมาร์ทโฟนซัมซุงเครื่องเก่าเฉพาะซีรีส์ เอส หรือ โน้ต รุ่นที่ร่วมรายการ (ไม่รวม Tablet) มาแลกเป็นส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก 3,000 บาท จากราคาประเมินเพื่อแลกซื้อสมาร์ทโฟน Galaxy S9 และ S9+
ทั้งนี้ Samsung Galaxy S9 และ S9+ มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ Midnight Black, สีฟ้า Coral Blue และเฉดสีใหม่ล่าสุด สีม่วง Lilac Purple โดย S9 รุ่น 64GB วางจำหน่ายในราคา 27,900 บาท และ S9+ มีให้เลือกทั้งรุ่น 64GB ราคา 31,900 บาท และ 128 GB ในราคา 33,900 บาท ส่วนรุ่น 256GB วางจำหน่ายร่วมกับโอเปอเรเตอร์ในราคา 37,900 บาท (สมัครพร้อมแพกส่วนลดสูงสุด 10,000 บาท)