xs
xsm
sm
md
lg

Review : Apple iPod (2015) การเดินทางของเครื่องเล่นเพลงฉบับพกพา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




สินค้าในตระกูล iPod ของแอปเปิล ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการอัปเดตเพิ่มเติมในปี 2015 นี้ ไม่ว่าจะเป็น iPod Shuffle iPod Nano และ iPod Touch โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเพิ่มสีให้คลุมโทนเดียวกับผลิตภัณฑ์หลักอย่าง iPhone มากกว่า

ที่สำคัญคือ แอปเปิลยังคงแยกความต้องการในการใช้งานออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆเช่นเดิมคือ กลุ่มที่ใช้พกพาเครื่องเล่นเพลงขณะออกกำลังกาย ต้องการเครื่องที่เล็ก และเบา ถัดมาคือกลุ่มที่ต้องการเครื่องเล่นเพลงที่มีความสามารถเพิ่มขึ้นมาในขนาดที่เหมาะสม และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่ต้องการใช้งานเป็นมัลติมีเดียเพลยเยอร์แบบครบครัน

โดยระดับราคาของ iPod จะเริ่มตั้งแต่ 2,290 บาท ในรุ่น Shuffle ไปจนถึง 14,500 บาท ในรุ่น iPod touch 128 GB ซึ่งจะเห็นว่ามีระดับราคาครอบคลุมตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหมื่นกลางๆเลยทีเดียว

การออกแบบและสเปก



ไล่กันตั้งแต่ตัว iPod Shuffle ยังถือว่าอยู่ใน Gen ที่ 4 ที่เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ปี 2010 ขณะที่ iPod Nano ก็ใช้ดีไซน์ดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2012 ใน Gen ที่ 7 ส่วน iPod Touch นับเป็น Gen ที่ 6 เพราะมีการอัปเกรดสเปกภายในเพิ่ม โดยทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับเปลี่ยนหลักๆในปีนี้คือเรื่องของสี ที่จะมีให้เลือกด้วยกัน 6 สี คือ เงิน ทอง เทา ชมพู น้ำเงิน และแดง (Product Red)



โดย iPod Shuffle จะมาพร้อมกับขนาด 29 x 31.6 x 8.7 มิลลิเมตร น้ำหนัก 12.5 กรัม ตัวเครื่องมีให้เลือกขนาดเดียวคือ 2 GB โดยจะมีปุ่มควบคุมหลักอยู่ด้านหน้าเครื่อง ใช้สำหรับสั่งเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง เพิ่ม-ลด เสียง



ขณะที่ขอบบนจะมีปุ่มเลื่อน สำหรับเปิดเครื่อง เลือกโหมดฟังตามลิสต์เพลง และเปิดโหมดสลับเพลงอัตโนมัติ (Shuffle) ถัดมาเป็นปุ่ม Voice Over ที่เมื่อกดแล้วตัว Shuffle จะบอกชื่อเพลง เพลยลิสต์ ชื่อศิลปิน และสถานะแบตเตอรีออกมา




ส่วนด้านหลังเครื่อง ถูกออกแบบมาให้เป็นคลิปหนีบ เพื่อให้สามารถนำไปหนีบติดกับเสื้อผ้าเพื่อใช้งานได้ทันที ที่สำคัญคือมีความแข็งแรงค่อนข้างมาก ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเครื่องจะหลุดขณะออกกำลังกายเลย



ทั้งนี้ ในกล่องของ iPod Shuffle ที่ให้มาจะประกอบไปด้วย ตัวเครื่อง คู่มืออการใช้งาน สายยูเอสบี (ใช้ชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ในการซิงค์เพลง โดยจะใช้ช่องเสียบหูหัง 3.5 มม.ในการซิงค์ข้อมูล) และหูฟังแบบปกติ (Apple Earphones)



ถัดมาในส่วนของ iPod Nano มีขนาดอยู่ที่ 76.5 x 39.6 x 5.4 มิลลิเมตร นำ้หนัก 31 กรัม มีให้เลือกขนาดเดียวเช่นกันคือ 16 GB โดยตัวเครื่องจะมาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสขนาด 2.5 นิ้ว ความละเอียด 240 x 432 พิกเซล 202ppi เพื่อใช้ในการสั่งงานต่างๆ ถัดลงมาเป็นปุ่ม โฮม ไว้กดย้อนกลับหน้าแรก





ด้านบน - จะมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ด้านล่าง - เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. และช่องเสียบสาย Lightning ด้านซ้าย - เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มสั่งเล่น-หยุดเพลง



สำหรับการเชื่อมต่อไร้สายของ iPod Nano จะรองรับการเชื่อมต่อบลูทูธ 4.0 ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับหูฟังบลูทูธ หรืออุปกรณ์เสริมสำหรับออกกำลังกายอย่าง Nike+ ได้ด้วย ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่องจะมีตัวเครื่อง คู่มือการใช้งาน สายยูเอสบีแบบ Lightning และหูฟัง Apple EarPods



สุดท้ายในส่วนของ iPod Touch จะมีขนาดรอบตัวอยู่ที่ 123.4 x 58.6 x 6.1 มิลลิเมตร น้ำหนัก 88 กรัม มีให้เลือกด้วยกัน 4 ขนาด คือ 16 GB 32 GB 64 GB และ 128 GB โดยมีหน้าจอสัมผัส Retina Display ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล 326ppi ขนาด 4 นิ้ว เป็นจุดหลัก มีปุ่มโฮมอยู่ล่างหน้าจอ และกล่อง Factime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลอยู่ส่วนบน



ด้านหลัง - มีกล้อง iSigh ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช และสัญลักษณ์แอปเปิลอยู่ตรงกึ่งกลาง ภายในบรรจุแบตเตอรีขนาด 1,043 mAh





ด้านบน - จะมีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ด้านซ้าย - เป็นปุ่มปรับระดับเสียง ด้านล่าง - มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ช่องเสียบสาย Lightning และลำโพงในตัว



สำหรับสเปกภายในของ iPod Touch Gen 6 จะเปลี่ยนมาใช้ซีพียู รุ่นเดียวกับ iPhone 6 ที่เป็นชิปประมวลผล A8 64 บิต ร่วมกับเซ็นเซอร์ M8 ในการนำมาคำนวนการเคลื่อนไหว เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการเล่นเกมให้ดีขึ้น



ด้านการเชื่อมต่อ iPod Touch รองรับการเชื่อมต่อไวไฟมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องจะมีตัวเครื่อง คู่มือ สายยูเอสบีแบบ Lightning และหูฟัง Apple EarPods เช่นเดียวกับ iPod Nano

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ



จุดเด่นหลักที่มีใน Shuffle คงหนีไม่พ้นในเรื่องของ Voice Over ที่จะคอยบอกชื่อเพลง และลิสต์เพลงที่เล่นอยู่ได้ เพราะตัวเครื่องไม่มีหน้าจอแสดงผล ทำให้เน้นไปที่การใช้งานในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างการออกกำลังกาย ที่ไม่ต้องการพกเครื่องเล่นเพลงขนาดใหญ่ไปมากกว่า

และด้วยข้อจำกัดที่สามารถใส่เพลงไว้ในเครื่องได้ 2 GB กับระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องประมาณ 15 ชั่วโมง ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพลงเป็นเพื่อนไปทุกที่ขณะเดินทาง หรือทำกิจกรรมต่างๆมากกว่า




ส่วนฟังก์ชันที่น่าสนใจใน iPod Nano จะอยู่ไปกับการใช้งานเครื่องเล่นเพลงอย่างเช่น กรณีที่เล่นเพลง และต้องการเปลี่ยนเพลงสามารถเขย่าเครื่องเพื่อสลับเพลงได้ทันที จากการที่ใส่เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเข้ามา รวมถึงในแง่ของการที่สามารถเชื่อมต่อบลูทูธ ทำให้สามารถใช้ต่อกับเครื่องเสียงชนิดอื่นอย่างหูหัง เครื่องเสียงในรถยนต์ได้

นอกจากนี้ ก็คือการที่ตัวเครื่องมาพร้อมจอสัมผัส ทำให้การใช้งานค่อนข้างง่ายสามารถสลับโหมดการใช้งานระหว่างเล่นเพลง ดูรูปภาพ เล่นวิดีโอ หรือฟังวิทยุ ได้ทันที ดังนั้น จุดเด่นโดยรวมของ iPod Nano คือการที่ผู้ใช้สามารถใช้งานเครื่องเล่นได้ง่ายๆ พกพาสะดวกมากกว่า



โดยตัวของ iPod Nano จะสามารถใช้งานเล่นเพลงได้ต่อเนื่องราว 30 ชั่วโมง และเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้ราว 3.5 ชั่วโมง




ในขณะที่ความสามารถของ iPod Touch ต้องบอกว่าแทบไม่แตกต่างจาก iPhone 6 ที่รองรับการใช้งาน iOS 8 เพียงแต่ไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้เท่านั้นเอง ดังนั้นผู้ใช้จึงสามารถใช้ iPod Touch ในการดาวน์โหลดแอปเพิ่มเติมมาติดตั้งใช้งานได้ทันที โดยใช้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านไวไฟเป็นหลัก



ขณะที่ระยะเวลาการใช้งาน iPod Touch จะสามารถเล่นเพลงได้ต่อเนื่องประมาณ 40 ชั่วโมง และเล่นวิดีโอได้ต่อเนื่องสูงสุด 8 ชั่วโมง



จุดเด่นหลักที่เพิ่มเข้ามาใน iPod ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้คือเรื่องของพัฒนาในแง่ของกล้องถ่ายภาพ ที่นำเทคโนโลยี iSight เข้ามาใช้งาน กับกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถใช้งานการถ่ายภาพต่อเนื่อง ถ่ายภาพชดเชยแสง (HDR) ถ่ายภาพต่อเนื่อง (TimesLabs) ได้เช่นเดียวกับในไอโฟน

ในขณะที่การบันทึกถาพวิดีโอ ก็เพิ่มความละเอียดขึ้นมาอยู่ในระดับ Full HD 1080p 30fps พร้อมกับความสามารถในการบันทึกภาพช้า (Slowmotion) ที่ 120 fps ส่วนกล้องหน้าก็เพิ่มความละเอียดขึ้นมาอยู่ในระดับ HD เพื่อให้สามารถใช้งาน Facetime HD ได้



อย่างไรก็ตาม ในการใช้งาน iPod ผู้ใช้จำเป็นต้องมีการซิงค์ข้อมูลผ่าน iTunes เพื่อซิงค์เพลงเข้ามาไว้ในเครื่อง หรือกรณีที่ใช้งาน iPod Touch เมื่อเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ก็สามารถดาวน์โหลดเพลงที่เคยซื้อไว้จาก Apple ID ได้ทันทีอยู่แล้ว พร้อมบริการจาก Apple Music ด้วย



อีกจุดที่ลืมไม่ได้เลยคือ ตัวเครื่อง iPod สามารถเชื่อมต่อกับหูฟังบลูทูธแบบไร้สายได้ ดังนั้นผู้ใช้สามารถหาหูฟังบลูทูธมาใช้งานด้วยได้ทันที สำหรับรูปแบบไฟล์เสียงที่ iPod รองรับจะประกอบไปด้วยไฟล์ acc mp3 ตั้งแต่ 8 - 320 kbps รวมถึงไฟล์ aax apple lossless aiff wav ส่วนรูปภาพที่รองรับจะเป็น jpg bmp gif tiff psd และ png

จุดขาย

- เครื่องเล่นเพลงหลากหลายสีสรร
- มีให้เลือกหลายระดับราคา เหมาะกับทุกกลุ่มผู้ใช้งาน

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

- การอัปเดตผลิตภัณฑ์ในครั้งนี้ เน้นไปที่การเปลี่ยนสีมากกว่า ส่วนในแง่ของการใช้งานเหมือนเดิม

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป



อย่างที่รู้กันว่า iPod ถือเป็นสินค้าดั้งเดิมที่ทำให้แอปเปิลเข้ามาในตลาดคอนซูเมอร์ ประกอบกับเรื่องของเครื่องเล่นเพลงยังเป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานบ่อยๆในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค ทำให้แอปเปิลเลือกที่จะเดินหน้าผลิตสินค้าในกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าการอัปเดตในครั้งนี้จะเน้นไปที่การปรับสีให้คุมโทนเดียวกับไอโฟนมากยิ่งขึ้น

ในแง่ของประสิทธิภาพการใช้งาน ก็ต้องเรียกว่าแต่ละรุ่นก็จะตอบโจทย์รูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคว่าต้องการแค่เครื่องเล่นเพลงพกพา เครื่องเล่นเพลงพร้อมหน้าจอสัมผัส หรือเครื่องเล่นมัลติมีเดียครบครันมากกว่า

Company Related Links :
Apple

————————————————————————————
อีกหนึ่งช่องทางติดตามไซเบอร์บิซ ออนไลน์ ผ่านทางแอปพลิเคชัน LINE คลิกเพิ่มเพื่อนที่ปุ่ม Add Friends ด้านล่างจากสมาร์ทโฟนหรือเข้าไลน์ค้นหาไอดี @opu3945f

เพิ่มเพื่อน
————————————————————————————

















กำลังโหลดความคิดเห็น