xs
xsm
sm
md
lg

Review : Apple Macbook (2015) เปิดโลกไร้สายสไตล์แอปเปิล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online




เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติวงการโน้ตบุ๊กอีกครั้งก็ได้ หลังจากที่แอปเปิลเปิดตัว Macbook รุ่นใหม่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Macbook 12” 2015 เนื่องจากเป็น Macbook ขนาดหน้าจอ 12 นิ้ว ที่เพิ่งถูกเปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 และเริ่มทยอยวางจำหน่ายในประเทศไทยเมื่อเดือนที่ผ่านมา และถือว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ Macbook รุ่นใหม่แตกต่างจากเดิมแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆเลยคือเรื่องของดีไซน์ คีย์บอร์ด และทัชแพด ที่เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจนเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ ในอุตสาหกรรมไอทีก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมองได้ว่า Macbook รุ่นนี้ มาเร็วเกินไปจนอาจจะเป็นต้นแบบของทิศทางอุตสาหกรรม

การออกแบบและสเปก



ถ้าถามว่าดีไซน์ของ Macbook มีความเปลี่ยนแปลงไปมากไหมเมื่อเทียบกับ Macbook Air ก็เรียกว่าไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่จากเดิม Macbook Air ที่มีความบางเป็นจุดเด่นอยู่แล้ว Macbook กลับทำได้บางกว่า Macbook Air ด้วยการที่มีขนาดเพียง 280.5 x 196.5 x 13.1 มิลลิเมตร (บางสุด 3.5 มิลลิเมตร) และน้ำหนัก 920 กรัม โดย Macbook จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ สีทอง สีเทา และสีเงิน

เริ่มกันจากภายนอกเครื่อง จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงจุดแรกเลยคือสัญลักษณ์ของแอปเปิล ที่แต่เดิมเมื่อมีการใช้งานตรงโลโก้จะมีไฟสว่างขึ้นมา แต่ในรุ่นนี้มีการเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นโลโก้ปกติ เหมือนที่ใช้ใน iPad



เมื่อเปิดหน้าจอขึ้นมา จะพบกับจอแสดงผลขนาด 12 นิ้ว ที่ให้ความละเอียด 2304 x 1440 พิกเซล โดยทางแอปเปิลระบุว่าเป็นจอภาพที่มีการออกแบบใหม่เพื่อลดพื้นที่ในการใช้งานให้บางลงเหลือ 0.88 มิลลิเมตร แต่ยังคงความสามารถในเรื่องของ Retina Display ไว้ และที่สำคัญคือสว่างกว่าจอภาพแบบเดิม 30%



โดยส่วนบนหน้าจอจะมีกล้องสำหรับใช้งาน Facetime ความละเอียด 480p ขณะที่ขอบล่างก็จะมีสัญลักษณ์ MacBook สีเทาอยู่



ถัดลงมาในส่วนของตัวเครื่อง แนวบนสุดจะเป็นที่อยู่ของช่องลำโพง ถัดมาเป็นคีย์บอร์ดแบบใหม่ที่แอปเปิลคิดค้นขึ้นเป็นกลไกแบบปีกผีเสื้อ (Butterfly) โดยลดความหนาของปุ่มลงมาเหลือ 0.5 มิลลิเมตร จากเดิมที่อยู่ราว 1.5 มม. หรือราว 60% ที่สำคัญคือเมื่อเทียบกับ Macbook Air ขนาดจะใหญ่ขึ้น 17%



ถัดลงมาเป็นทัชแพดรูปแบบใหม่ (Force Touch) ที่รองรับการกดทั้งแผ่น และทำให้สามารถกดใช้งานได้สะดวกขึ้น พร้อมกับการเพิ่มระดับสัมผัสให้ง่ายต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น พร้อมกับคงจุดเด่นในเรื่องของการสัมผัส และใช้งานแบบมัลติทัชด้วย



โดยภายในเครื่อง แอปเปิลได้มีการออกแบบการจัดวางภายในใหม่ ทำให้ขนาดเมนบอร์ดลดลงเหลือ 1 ส่วน 3 ของเครื่อง เมื่อเทียบกับ Macbook Air จะมีขนาดเล็กลงถึง 67% ขณะเดียวกันได้มีการเพิ่มปริมาณของแบตเตอรีให้เพิ่มขึ้น ด้วยการจัดเรียงชั้นของแบตเตอรีให้สามารถวางได้เต็มพื้นที่ เป็นแบตเตอรีขนาด 7.55 V 39.71 Wh 5,263 mAh

ที่สำคัญคือการตัดพัดลมระบายอากาศออก ทำให้ช่วยลดเสียงรบกวนขณะใช้งานเครื่องลงไปได้ โดยเกิดจากความสามารถของหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ ที่นอกจากประหยัดพลังงานแล้วยังมีความร้อนต่ำด้วย



ขณะที่สเปกภายในของ Macbook จะทำงานบนหน่วยประมวลผล Intel Core M 1.1 GHz ที่มี Turbo Boots ขึ้นไปเป็น 2.4 GHz (เลือกใส่ได้สูงสุด 1.3 GHz / 2.9 GHz) L3 Cache 4 MB RAM DDR3 8 GB พื้นที่เก็บข้อมูลแบบ SSD เริ่มต้นที่ 256 GB หน่วยประมวลผลภาพ Intel HD 5300

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ WiFI มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.0 ส่วนที่เหลือจะเชื่อมต่อผ่านพอร์ต USB-C ที่ใช้ทั้งเป็นสายชาร์จ พอร์ตยูเอสบีปกติ และพอร์ตต่อจอภาพภายนอก ทำงานบนระบบปฏิบัติการ OS X Yosemite 10.10.4

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ



4 จุดเด่นหลักที่ห้ามพลาดในการพูดถึง Macbook 2015 เลยคือเรื่องของหน้าจอที่มีขนาด 12 นิ้ว แต่มีการจัดเลเยอร์ของหน้าจอใหม่ให้มีขนาดบางลง ขณะเดียวกันขอบจอก็มีขนาดเล็กลง ทำให้ผู้ใช้ได้เห็นเครื่องที่มีขนาดหน้าจอ 12 นิ้ว มีขนาดเล็กกว่าเครื่องขนาดหน้าจอ 11 นิ้ว ที่สำคัญคือเรื่องของการแสดงผลที่นำจอแบบ Retina มาใช้งาน ส่งผลให้สามารถแสดงผลได้คมชัดกว่าจอแบบเดิม



ถัดมาคือในเรื่องของการปรับเปลี่ยนมาใช้เป็นพอร์ต USC-C ที่แม้ว่าแอปเปิลจะเป็นรายแรกในท้องตลาดที่นำพอร์ตดังกล่าวมาใช้ แต่แอปเปิลเชื่อว่า พอร์ตนี้จะกลายเป็นมาตรฐานที่สำคัญต่อไปในอนาคต ทำให้ในช่วงแรกอาจจะเกิดความไม่คุ้นชินในการใช้งานก็ตาม



อย่างไรก็ตามด้วยการที่แอปเปิล ไม่ได้วางคอนเซปต์ในการใช้งาน Macbook ให้มาเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นผ่านสาย แต่เน้นไปที่การเชื่อมต่อแบบไร้สายมากกว่า ดังจะเห็นได้จากการที่แอปเปิล มีการปรับเปลี่ยนในแง่การเชื่อมต่อระหว่าง OS X และ iOS ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันสามารถเชื่อมต่อผ่านระบบไร้สายได้แล้ว



ต่อมาคือเรื่องของคีย์บอร์ด ที่มีการออกแบบใหม่เช่นเดียวกัน ด้วยการเปลี่ยนกลไกที่ใช้รับสัมผัสเป็นแบบปีกผีเสื้อ ส่งผลให้ในการใช้งานแม้ว่าจะกดที่มุมของปุ่มขนาดไหนก็รับสัมผัสได้ ขณะเดียวกันขนาดของปุ่มก็มีขนาดกว้างขึ้น เมื่อเทียบกับ Macbook Air และบางลงอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญคือยังมีไฟ LED อยู่ใต้แผงคีย์บอร์ดให้สามารถใช้งานในเวลากลางคืนได้

ทั้งนี้ ผู้ที่ได้สัมผัสใช้งานคีย์บอร์ดรุ่นใหม่ของ Macbook ช่วงแรกๆอาจจะไม่คุ้นชินกับการใช้งานเท่าไหร่ แต่ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว เพราะทำให้สามารถพิมพ์สัมผัสได้รวดเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าจะไม่ได้สัมผัสในการกดปุ่มลึกๆแบบเดิม



มาถึงจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ Macbook รุ่นนี้เลย และถือว่าเป็นจุดขายสำคัญที่จะกลายเป็นอนาคตในการใช้งาน Macbook รุ่นอื่นๆต่อไปในอนาคตคือ Force Touch Trackpad ที่เปลี่ยนการรับสัมผัสให้เป็นการใช้ไฟฟ้าสถิตแทน เพื่อส่งแรงกดมายังนิ้วมือของผู้ใช้ โดยสามารถรับแรงกดได้หลายระดับ



โดยการทำงานของแทร็กแพดแบบใหม่นี้ จะมีอยู่ด้วยกัน 4 ส่วนหลักๆเลยคือ เรื่องของการ คลิก ที่สามารถกดคลิกได้ทุกส่วนของแทร็กแพด จากในรุ่นเดิมที่แถบบนจะกดค่อนข้างยาก เนื่องจากมีการใช้เซ็นเซอร์รับแรงกด 4 จุด ครอบคลุมทั่วแทร็กแพด



นอกจากนี้ยังมีการเสริมฟังก์ชันพิเศษอย่างการกดย้ำลงไปอีกระดับ (Force Click) เพื่อใช้ในการแสดง Preview ค้นหาที่อยู่ใน Safari บันทึกตารางนัดหมายลงปฏิทิน แสดงผลลิงก์ และอื่นๆอีกมากมาย



ต่อมาคือการ เร่ง ที่จะแสดงความสามารถในการรับแรงกดของแทร็กแพด ยกตัวอย่างเช่นกรณีเล่นไฟล์วิดีโออยู่ ต้องการเร่งความเร็ว สามารถกดที่ปุ่ม Forward เมื่อกดแล้วสามารถลงน้ำหนักนิ้วเพิ่มเติมเพื่อเร่งความเร็วในการเลื่อนจาก 5 เท่า เป็น 10 เท่า 30 เท่า และ 60 เท่าได้

อีก 2 ส่วนที่เหลือคือ การจัดระเบียบ ที่สามารถใช้แทร็กแพดในการช่วยจัดเรียงไอคอนได้ง่ายขึ้น และสุดท้ายคือความสามารถใน การวาดรูป เนื่องจากตัวแทร็กแพดมีการรับแรงกด ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะกดปุ่มด้วยความแรงขนาดไหน ลายเส้นทีไ่ด้ก็จะหนาขึ้นตามการกดไปด้วย

ทั้งนี้ ถ้าสังเกตในการใช้งาน กรณีที่ตัวเครื่องปิดตัว ตัวแทร็กแพดจะไม่สามารถกดลงไปได้ แสดงให้เห็นถึงระบบการรับสัมผัสที่เกิดจากไฟฟ้า ดังนั้นกรณีที่เครื่องไม่มีไฟเลี้ยงก็จะไม่สามารถกดปุ่มเพื่อใช้งานแทร็กแพดได้นั่นเอง แน่นอนว่าถ้าอยากได้สัมผัสที่กดแล้วรู้สึกว่าลึก หรือไม่จำเป็นก็สามารถเข้าไปปรับได้เช่นเดียวกัน




สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ Macbook 2015 ด้วยโปรแกรมทดสอบอย่าง GeekBench wด้คะแนน Single Core 2,424 คะแนน Multi Core 4,619 คะแนน ส่วน Cinebench R15 ได้คะแนน Open GL 17.87 fps CPU 190 cb

โดยรวมแล้วความสามารถใหม่ๆของ Macbook ที่เกิดจากส่วนของฮาร์ดแวร์จะมีประมาณนี้ แต่อย่างที่รู้กันว่าโน้ตบุ๊กส่วนใหญ่จะเรียกประสิทธิภาพในการทำงานมาจากระบบปฏิบัติการเป็นหลัก ดังนั้นความสามารถในการใช้งานต่างๆก็จะขึ้นอยู่กับตัว OS X อย่าง Yosemite และ El Capitan ที่จะทยอยอัปเกรดในช่วงปลายปีนี้
จุดขาย

- ความบางของตัวเครื่อง ทำให้เหมาะกับการพกพา
- ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรีต่อเนื่องประมาณ 9 ชั่วโมง
- คีย์บอร์ด และแทร็กแพด ใหม่ที่ช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

- ประสิทธิภาพไม่สูงมาก เหมาะกับการใช้งานพกพาทั่วๆไป
- พอร์ต USB-C ยังหาอุปกรณ์ใช้ด้วยยาก

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

ถ้าเป็นผู้ใช้งาน Mac ที่เดิมมี Macbook Pro หรือ iMac อยู่ แล้วต้องการเครื่องใหม่มาใช้งานสำหรับพกพา หรือกำลังใช้งาน Macbook Air รุ่นเก่าแล้วมีความคิดจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ Macbook 2015 ถือว่า เข้ามาตอบโจทย์การใช้งานในแง่ของอุปกรณ์พกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้เป็นอย่างดี

เพียงแต่ในการใช้งานจำเป็นต้องมองถึงโลกของการเชื่อมต่อไร้สายเป็นหลัก ด้วยการใช้ iCloud หรือ AIrDropควบคู่กับ iPad หรือ iPhone ในการโอนย้ายไฟล์มาใช้งานภายในเครื่อง มากกว่าการเชื่อมต่อผ่านพอร์ตยูเอสบีแบบเดิมๆ

ในแง่ของประสิทธิภาพตัวเครื่อง สามารถนำมาใช้งานทั่วไปได้สบายๆ รวมไปถึงสามารถใช้ในการแต่งรูปประเภท RAW ไฟล์ได้ หรือตัดต่อวิดีโอขนาดสั้นๆได้ แต่อย่านำไปเทียบกับเครื่องอย่าง Macbook Pro ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า แม้ระดับราคาจะใกล้เคียงกันก็ตาม

ทั้งนี้ Macbook 2015 วางจำหน่ายให้เลือกกันทั้งหมด 2 รุ่นคือ รุ่นที่ใช้ Intel Core M 1.1 GHz SSD 256 GB ในราคา 43,900 บาท และรุ่น Intel Core M 1.2 GHz SSD 512 GB ในราคา 54,900 บาท (หรือเพิ่มเงินอีก 4,920 บาท สำหรับ Intel Core M 1.3 GHz)



ส่วนอุปกรณ์เสริมอย่าง USB-C to USB อยู่ที่ 690 บาท USB-C to VGA Multiport และ USB-C to Digital AV Multiport ที่ราคา 2,990 บาท

Company Related Links :
Apple








เทียบความบางกับ Macbook Air


กำลังโหลดความคิดเห็น