ซัมซุงถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนกลุ่มแรกที่กระโดดเข้ารุกตลาดสมาร์ทวอตซ์ตั้งแต่ปีที่แล้วกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ Gear โดยซัมซุงทดลองตลาดหลายรุ่นเริ่มตั้งแต่ Samsung Gear ตัวแรก มาถึง Gear 2, Gear 2 Neo Gear Fit ที่ถือเป็นงานลองตลาดสร้างประสบการณ์ทั้งเจ็บช้ำ ขายออกบ้างไม่ออกบ้างมาตลอดหนึ่งปี
มาในปีนี้ด้วยประสบการณ์ที่เพิ่มชึ้น ซัมซุงก็พร้อมปรับปรุงและพัฒนา Gear ตัวใหม่เปิดตัวควบคู่กับสมาร์ทโฟน Galaxy Note 4 ในชื่อ “Samsung Gear S” กับความสามารถครอบจักรวาลประหนึ่งเป็นสมาร์ทโฟนอีกเครื่องหนึ่งเลยทีเดียว
การออกแบบและสเปก
Samsung Gear S ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ Tizen (Wearable platform) ภายในมีหน่วยประมวลผล Dual-core ความเร็ว 1GHz แรม 512MB พื้นที่เก็บข้อมูลภายใน 4GB แบตเตอรี 300 mAh สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องนาน 2-3 วัน มี GPS WiFi 802.11 b/g/n Bluetooth 4.1 และมีไมโครโฟน ลำโพงกระจายเสียง 1 ตัวพร้อมอเตอร์สั่นสำหรับการแจ้งเตือนต่างๆ
สายรัดข้อมือสามารถปรับขนาดได้ตั้งแต่ข้อมือเล็กไปถึงข้อมือใหญ่มากเหมือนผู้ทดสอบ
หน้าจอมัลติทัชแบบโค้งตามข้อมือขนาด 2 นิ้ว Super AMOLED ความละเอียด 360x480 พิกเซล (300ppi) ตัวเครื่องมีขนาดกว้างxยาว 58.1x39.9 มิลลิเมตร หนา 12.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 67 กรัม สายนาฬิการัดข้อมือวัสดุทำจากยาง มีให้เลือก 2 สีคือดำและขาว ตัวเครื่องสามารถกันน้ำลึก 1 เมตรนาน 30 นาทีและป้องกันฝุ่นละอองตามมาตรฐาน IP67
ใต้หน้าจอจะมีปุ่มโฮมสำหรับใช้กดเพื่อปลุกให้หน้าจอตื่นและใช้ออกจากแอปพลิเคชันต่างๆ
และด้วยหน้าจอแบบ Super AMOLED ทำให้การการแสดงผลทำได้คมชัด การสู้แสงแดดจัดใช้ได้ หน้าจอดรอปลงเล็กน้อยแต่ยังมองเห็นข้อความต่างๆ ระบบตรวจจับแสงเพื่อใช้ปรับความสว่างของหน้าจออัตโนมัติทำได้แม่นยำ
ด้านเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวภายในมีทั้ง Accelerometer, Gyro, เซ็นเซอร์ตรวจวัดแสงและยูวี (UV), เข็มทิศ และ Barometer
นอกจากนั้นด้วยการที่ซัมซุงต้องการให้ Gear S สามารถใช้งานได้ครอบจักรวาล นาฬิกาอัจฉริยะนี้จึงมาพร้อมช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบนาโนซิม รองรับ 3G ในตัวบนคลื่นความถี่ 900/2,100MHz 2G 850/900/1,800/1,900MHz และสามารถโทรเข้ารับสายจากซิมใน Gear S ได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจแบบเดียวกับที่อยู่ใน Note 4 และ Galaxy S5
ส่วนเรื่องการชาร์จพลังงาน ต้องทำผ่าน Docking ที่ให้มาเท่านั้น โดยผู้ใช้สามารถชาร์จไฟด้วยพอร์ต MicroUSB กับคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊กหรือเชื่อมต่อกับอะแดปเตอร์สมาร์ทโฟนก็ได้
และสุดท้ายที่พิเศษสุดคือ Gear S สามารถถอดเปลี่ยนส่วนสายรัดข้อมือเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันที่สวมใส่ได้
การใช้งานและฟีเจอร์เด่น
เรื่องสำคัญที่ควรรู้ก่อนอันดับแรกสำหรับผู้อ่านที่คิดจะหาซื้อ Samsung Gear S มาใช้งานก็คือเรื่องการรองรับกับสมาร์ทโฟนที่ค่อนข้างจำกัดในตอนนี้ โดยเฟริมแวร์ปัจจุบันของ Gear S จะรองรับสมาร์ทโฟนดังต่อไปนี้
Galaxy Note series : Galaxy Note 4 (LTE), Galaxy Note 3 (LTE/3G), Galaxy Note 2 (3G), Galaxy Note 3 neo (3G)
Galaxy S series : Galaxy S5 (LTE), Galaxy S4 (3G), Galaxy S3 (3G), Galaxy S4 Zoom (3G)
อื่นๆ : Galaxy Alpha (LTE), Galaxy Grand 2 (3G), Galaxy Mega 6.3 (3G), Galaxy Mega 2 (LTE), Galaxy K Zoom (3G)
ส่วนซีรีย์นอกเหนือจากนี้ไม่ว่าจะเป็นแท็บเล็ต Tab S และอื่นๆ ต้องรอการอัปเดตครั้งใหม่จากซัมซุงก่อน เพราะทีมงานได้มีโอกาสทดสอบ Gear S กับ Tab S 8.4 นิ้วแล้วพบว่าถึงแม้ตัวเครื่องจะสามารถติดตั้งแอปฯ ควบคุมการทำงานของ Gear S ได้แต่จะไม่สามารถเชื่อมต่อกับบลูทูธได้
ส่วนการเชื่อมต่อ Gear S กับสมาร์ทโฟนที่รองรับ อันดับแรกต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “Samsung Gear Manager” จากสโตร์ Galaxy Apps มาติดตั้งก่อนแล้วทำการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับ Gear S ผ่านบลูทูธให้เรียบร้อย (Gear S และสมาร์ทโฟนจะเชื่อมต่อกันตลอดเวลาบนเทคโนโลยี Bluetooth Low Energy บริโภคไฟต่ำ)
โดยภายใน Gear Manager จะอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการตั้งค่า Gear S ได้ทุกส่วนตั้งแต่ปรับเปลี่ยนธีมแสดงผล นาฬิกา เปลี่ยนภาพพื้นหลังตามความต้องการ เลือกแอปฯที่จะให้แจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ ซิงค์ข้อมูลสุขภาพจากตัวนาฬิกามายังสมาร์ทโฟนผ่าน S Health รวมถึงสามารถเข้าถึงสโตร์ Gear Apps สำหรับดาวน์โหลดแอปฯมาติดตั้งลงในตัวนาฬิกาเพิ่มเติมได้ด้วย
สำหรับสมาร์ทโฟนตระกูล Samsung Galaxy ที่มี S Health ติดตั้งมาด้วย เมื่อเชื่อมต่อกับนาฬิกาอัจฉริยะตัวนี้ แอปฯจะซิงค์ข้อมูลจาก Gear S แทนและสามารถเรียกดูข้อมูลกราฟทั้งการก้าวเดินในแต่ละวัน ชั่งโมงการนอนหลับรวมถึงส่วนวัดอัตราการเต้นของหัวใจและตรวจวัดแสง UV จะเรียกใช้ตัวตรวจจับจากนาฬิกาทั้งหมด
จากสมาร์ทโฟนมาดูที่ตัว Gear S กันบ้างว่านาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่นี้ทำอะไรได้บ้าง หลักๆ Gear S นอกจากใช้บอกเวลา นับก้าวเดินและใช้จับสถิติการวิ่งออกกำลังกายต่างๆ ได้แล้ว ภายใน Gear S ที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์เด่นๆ อย่าง GPS/GLONASS ยังสามารถใช้บันทึกพิกัดสำหรับผู้ชื่นชอบการขี่จักรยานไปในสถานที่ต่างๆ สามารถดึงระบบแจ้งเตือนจากในสมาร์ทโฟนมาแสดงที่นาฬิกาพร้อมรองรับภาษาไทยเต็มรูปแบบ
อีกทั้งตัว Gear S ยังมาพร้อมแอปฯ Nike Running ที่ต้องเชื่อมต่อการทำงานกับแอปฯบนสมาร์ทโฟนเพื่อเก็บสถิติการวิ่ง พิกัดที่วิ่ง รอบขาและความเร็ว
นอกจากนั้น Gear S ยังรองรับการพิมพ์ข้อความทั้งภาษาไทยและอังกฤษสำหรับใช้ส่งข้อความหรือค้นหาเบอร์โทรศัพท์ สามารถควบคุมเพลง มี S Voice (กดปุ่มโฮมที่หน้าจอค้างไว้) แล้วสั่งงานด้วยเสียงได้ เข็มทิศพร้อมบอกระดับความสูง รวมถึงแสดงอัลบั้มภาพได้และทีเด็ดอีกอย่างที่ Gear S ทำได้ก็คือมาพร้อมแอปฯ Navigator (Here Maps) สามารถใช้นำทางได้ อีกทั้ง Gear S ยังสามารถดูข่าวรายวัน เช็คสภาพอากาศและเข้าเว็บไซต์ผ่านบราวเซอร์ที่ติดตั้งภายในได้ แต่ทั้งนี้การใช้งานแบบเต็มรูปแบบจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนที่รองรับตลอดเวลา
สำหรับการใช้โทรศัพท์ ตัว Gear S จะมีการติดตั้งทั้งไมโครโฟนและลำโพงไว้สามารถกดรับสายหรือโทรออกแล้วสนทนากับตัวนาฬิกาได้หรือจะใช้เชื่อมต่อกับหูฟังบลูทูธอีกทอดก็ได้ ส่วนการโทรออกก็สามารถเลือกโทรได้จากทั้งซิมที่อยู่ใน Gear S หรือในสมาร์ทโฟน
ส่วนการใช้ตรวจจับการเคลื่อนไหวเพื่อตรวจวิเคราะห์สุขภาพทั้งการนอน เดิน อัตราการเต้นของหัวใจและแสง UV ในสถานที่ต่างๆ สามารถทำได้ง่าย โดยระบบตรวจจับการเดินจะเป็นไปแบบอัตโนมัติทันทีที่เริ่มใช้งาน Gear S โดยผู้ใช้สามารถเข้าดูข้อมูลในแต่ละช่วงเวลาได้ว่าช่วงไหนเดินมากน้อย มีวิ่งกี่นาที วันหนึ่งเดินทางไปกี่กิโลเมตร เผาผลาญไปกี่แคลอรี่ ส่วนการนอนก่อนนอนผู้ใช้ต้องกดให้ตัวเครื่องทราบก่อนว่าเราจะนอนแล้ว แล้วระบบจะเข้าสู่โหมดห้ามรบกวนโดยจะปิดเสียง ปิดแจ้งเตือนต่างๆ ทั้งหมดและเริ่มทำการตรวจจับการเคลื่อนไหวระหว่างการนอน โดยค่าที่เครื่องตรวจจับจะแสดงผลออกมาให้ทราบว่าคืนหนึ่งคุณนอนหลับกี่ชั่วโมง นอนหลับลึก (ไม่เคลื่อนไหวร่างกาย) กี่ชั่วโมง
มาถึงการวัดรังสี UV และวัดอัตราการเต้นของหัวใจ สามารถทำได้โดยการกดให้ตัวเครื่องเริ่มตรวจจับก่อนสักพักแล้วระบบจะแสดงค่าผลลัพท์ออกมาให้ทราบ โดยการวัด UV ระบบจะบอกว่าแสงอาทิตย์ในสถานที่นี้เข้มมากขนาดไหนพร้อมคำแนะนำคร่าวๆ เกี่ยวกับการป้องกันเช่น บอกให้ทาครีมกันแดดที่มี SPF30+ เป็นต้น ส่วนการวัดอัตราการเต้นของหัวใจจะใช้หลักการเดียวกับที่อยู่ในสมาร์ทโฟน S5 และ Note 4 และไม่เป็นการวัดแบบเรียลไทม์เหมือนกับนาฬิกาวิ่งเฉพาะทาง
ทดสอบประสิทธิภาพและสรุป
อย่างแรกต้องยอมรับว่า Samsung Gear S พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับสมาร์วอตช์อีกครั้งด้วยการปรับตัวเองให้สามารถใช้งานได้ครอบจักรวาลเหมือนมีสมาร์ทโฟนอีกเครื่องคาดข้อมืออยู่ แน่นอนในครั้งนี้ซัมซุงปรับให้ Gear S สามารถทำงานด้วยตัวเองได้มากขึ้น (อารมณ์ลืมสมาร์ทโฟนไว้ที่บ้านก็ยังโทรเข้าออก รับข้อความผ่าน Gear S ได้เพราะใส่ซิมโทรศัพท์ได้) แต่ถึงอย่างไรการใช้งานเต็มความสามารถจริงๆ ก็จำเป็นต้องพึ่งพาสมาร์ทโฟนที่รองรับอยู่ดี
ส่วนการใช้งาน ฟีเจอร์ทั้งหมดยอมรับว่าครั้งนี้ซัมซุงทำได้ดี ทุกฟีเจอร์ใช้งานได้จริงและที่สำคัญรองรับภาษาไทยได้สมบูรณ์มาก หน้าจอทำงานได้ลื่นไหล ถึงแม้การสั่งงานผ่านหน้าจอแบบสัมผัสจะสร้างความงงงวยในบางคำสั่งสำหรับการใช้งานครั้งแรก เช่น การย้อนกลับต้องใช้นิ้วปาดจากขอบจอบนลงล่าง ซึ่งบางทีติดบ้างไม่ติดบ้างแต่พอปรับตัวได้ก็จะชินกับการควบคุมมากขึ้น
แต่ทั้งนี้ด้วยฟีเจอร์ที่ครอบจักรวาลและหน้าจอสีที่ให้ความสดและสวยงามพร้อมการรองรับซิมการ์ดโทรศัพท์ทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรีกลายเป็นจุดอ่อน เพราะ Gear S สามารถใช้งานได้ประมาณ 2-3 วันแบตฯก็หมดต้องชาร์จไฟใหม่ อีกทั้งด้วยหน้าจอที่ใหญ่และเป็นกระจกทั้งหมดไม่มีสันขอบป้องกันหน้าจอกระแทกทำให้มีโอกาสเป็นรอยได้ง่าย จะคิดติดฟิล์มกันรอยก็ทำได้ยากเพราะหน้าจอโค้ง
อีกทั้งเรื่องน้ำหนักของตัวนาฬิกาที่ค่อนข้างมากกว่าสมาร์ทวอตช์หลายรุ่น เวลาอยู่บนข้อมือของผู้หญิงหลายท่านมักบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าใหญ่และหนัก
และข้อสังเกตสุดท้ายที่พบเจอตลอดการทดสอบก็คือระบบหน้าจอที่ไม่สามารถตั้งให้แสดงเวลาแบบ Always-on ได้เพราะแบตเตอรีจะหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางซัมซุงก็ได้แก้ปัญหาให้การดูเวลาและค่าต่างๆ ในหน้าแรกทำได้ง่ายขึ้นด้วยระบบปลุกหน้าจอด้วยการจับการเคลื่อนไหว เมื่อผู้ใช้ยกข้อมือขึ้นเพื่อมองหน้าปัดนาฬิกา จอจะติดอัตโนมัติ แต่เมื่อทดลองใช้งานจริงแล้วพบว่าทำได้ไม่ดีเลย คือเมื่อยกข้อมือเพื่อดูเวลาหน้าจอบางครั้งติดบ้างไม่ติดบ้าง สุดท้ายก็ต้องอาศัยการกดปุ่มโฮมเพื่อปลุกหน้าจออยู่ดี
สำหรับราคา Samsung Gear S อยู่ที่ 11,900 บาท ถือเป็นสมาร์ทวอตซ์ซัมซุงเพื่อสมาร์ทโฟนซัมซุง Galaxy ที่เมื่อใช้งานร่วมกันแล้วค่อนข้างลงตัวและทำใช้งานได้หลากหลาย อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ที่ไม่อยากพลาดการติดต่อสื่อสารตลอดเวลารวมถึงคนที่กำลังมองหาสมาร์ทวอตซ์เพื่อสุขภาพ สิ่งเหล่านี้ Gear S ให้ได้ทั้งหมด
เพียงแต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ Gear S ไม่สามารถใช้งานกับสมาร์ทโฟนทั่วไปรวมถึงแท็บเล็ตของซัมซุงได้ในตอนนี้ (รออัปเดตในอนาคต) การเลือกซื้อ Gear S อาจต้องใช้ความรอบครอบในการตรวจรุ่นที่รองรับก่อนจ่ายเงิน ไม่อย่างนั้นอาจพลาดเสียเงินฟรีเหมือนที่หลายคนพลาดมาแล้ว
Company Related Link :
Samsung