xs
xsm
sm
md
lg

Review : Samsung Galaxy Note 4 สมุดโน้ตที่สมบูรณ์มากขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




แม้ว่าจะออกมาเป็นรุ่นที่ 4 แล้วสำหรับผลิตภัณฑ์ในตระกูล Galaxy Note แต่ทางซัมซุงก็ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของความละเอียดจอ ความแม่นยำของปากกา ไม่นับรวมกับการอัดฟีเจอร์ที่เพิ่มมาในรุ่นแฟลกชิปก่อนหน้าอย่าง Galaxy S5 เข้ามารวมไว้ภายใน Note 4 ที่จะเป็นแฟลกชิปในช่วงปลายปีของทางซัมซุง

การออกแบบและสเปก



ในส่วนของการออกแบบตัวเครื่องมีการเล่นขอบและมุมมากขึ้น ด้วยวัสุดที่เป็นอะลูมิเนียมให้ความรู้สึกในการสัมผัสถึงความแข็งแรง แม้ว่าภายในจะยังใช้เป็นพลาสติกคุณภาพสูงที่ให้น้ำหนักเบาเหมือนรุ่นก่อนหน้าก็ตาม ขนาดรอบตัวของ Note 4 จะอยู่ที่ 153.5 x 78.6 x 8.5 มิลลิเมตร น้ำหนัก 176 กรัม มีให้เลือก 3 สี คือ ขาว ดำ และทอง



ด้านหน้า - ที่โดดเด่นที่สุดคือขนาดหน้าจอ 5.7 นิ้ว ความละเอียด Quad HD (2,560 x 1,440 พิกเซล) โดยมีช่องลำโพงสนทนาอยู่ส่วนบนหน้าจอ พร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า ตรวจวัดแสง และกล้องหน้าความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซล และมีโลโก้ซัมซุงพาดอยู่ ล่างหน้าจอก็จะมีปุ่มโฮม (ใช้สแกนลายนิ้วมือได้ด้วย) ปุ่มย้อนกลับ และปุ่มเรียกดูแอปฯที่ใช้งานล่าสุด (Recent App)



ด้านหลัง - จะมาพร้อมกับกล้องความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ที่นูนยื่นออกมา โดยมีขอบอะลูมิเนียมช่วยลดรอยที่จะเกิดขึ้นได้ถ้าวางเครื่องคว่ำลง ถัดลงมาเป็นไฟแฟลช พร้อมกับเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และวัดรังสียูวีได้ด้วย



เมื่อแกะฝาหลังที่ยังใช้เป็นหนังเคลือบแบบใน Note 3 จะพบกับแบตเตอรี 3,220 mAh ช่องใส่ไมโครซิมการ์ดที่อยู่ข้างแบต และช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ด ที่สามารถใช้งานแบบ Hot Swap ได้




ด้านซ้าย - จะมีปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวา - เป็นปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง




ด้านบน - เป็นช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ไมโครโฟน และเซ็นเซอร์อินฟาเรต ด้านล่าง - มีพอร์ตไมโครยูเอสบี ช่องไมโครโฟน และช่องเสียบปากกา



สำหรับสเปกภายในของ Galaxy Note 4 จะใช้หน่วยประมวลผล Octa Core ที่เป็นควอดคอร์ 1.9 GHz และ ควอดคอร์ 1.3 GHz RAM 3 GB พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูล 32 GB รองรับไมโครเอสดีการ์ดสูงสุด 64 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.4 (Kitkat)



ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 4G LTE ที่ความเร็วสูงสุด 150/50 Mbps (Download Bootster) WiFi มาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.1 NFC รองรับพอร์ต MHL ไว้ต่อกับจอทีวี และพอร์ตอินฟาเรต ทั้งนี้ตัว S-Pen จะมีน้ำหนักราว 15 กรัม ระยะใช้งานเหนือหน้าจออยู่ที่ 15 มิลลิเมตร รับแรงกดสูงถึง 2,048 ระดับ

เมื่อดูถึงเซ็นเซอร์ที่ใส่มาให้ภายใน Bote 4 จะประกอบไปด้วย Gesture, Accelerometer, Geo-magnetic, Gyroscope, RGB ambient light, Proximity, Barometer, Hall Sensor, Finger Scanner, UV และ HRM รวมกันแล้วมีถึง 11 เซ็นเซอร์ด้วยกัน

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ



ในส่วนของยูสเซอร์อินเตอร์เฟซน่าจะยังคุ้นเคยกับ TouchWiz กัน โดยใน Note 4 ก็จะมีความคล้ายคลึงกับใน Galaxy Tab S ที่วางจำหน่ายออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งในส่วนของหน้าล็อกหน้าจอที่มีรูปแบบการแจ้งเตือนแบบลอยขึ้นมาตรงกลาง หน้าหลักที่สามารถนำวิตเจ็ตมาใส่ได้เอง แน่นอนว่ายังรองรับการใช้งาน Multi Tasking อยู่เช่นเดียวกันด้วย



ส่วนของแถบการแจ้งเตือนก็จะมีไอค่อนลัดให้เลือกนำมาวางไว้อยู่ 10 อัน ถัดลงมาเป็นแถบปรับความสว่างหน้าจอ ปุ่มลัดเข้า S-Finder และ QuickConnect ทั้งนี้ถ้าต้องการเข้าไปเลือกปรับการตั้งค่าทั้งหมดก็สามารถเลือกที่มุมขวาบนได้ ภายในก็จะมีไอค่อนอื่นๆเพิ่มเข้ามาให้อีก

เมื่อดูรายชื่อแอปพลิเคชันที่พรีโหลดมาให้ในเครื่องจะค่อนข้างน้อย มีให้เฉพาะที่จำเป็นต่อการใช้งานอย่างโทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ เว็บเบราว์เซอร์ รูปภาพ กล้อง เครื่องเล่นเพลง วิดีโอ ตั้งนาฬิกา ปฏิทิน สมุดจดโน้ต อีเมล เครื่องคิดเลข การตั้งค่า ระบบอัดเสียง ตัวจัดการไฟล์ภายในเครื่อง

และแอปที่ซัมซุงพัฒนาขึ้นมาอย่าง Galaxy Apps ที่รวมแอปฯน่าสนใจ S Health S Voice Smart Remote แล้วก็จะมีบริการอย่าง FlipBoard Dropbox Evernote Facebook Line Instagram มาให้ พร้อมกับเซอร์วิสต่างๆของกูเกิล



ขณะที่อีกมุมหนึ่งซัมซุงยังมองถึงพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใหญ่ ที่ต้องการสมาร์ทโฟนหน้าจอขนาดใหญ่มาใช้งาน จึงได้มีการเพิ่ม Easy Mode มาให้เลือกใช้ ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานแล้วจะปรับเปลี่ยนยูสเซอร์อินเตอร์เฟซให้ใช้งานได้ขึ้น เหลือแสดงผลเพียงสภาพอากาศ วัน เวลา และทางลัดแอปฯที่ใช้งานหลักๆเท่านั้น หน้าถัดมาก็สามารถเลือกแอปที่ใช้บ่อยขึ้นมารวมไว้ และอีกหน้าเป็นรายชื่อผู้ติดต่อไว้ให้โทรออกง่ายๆ



เมนูโทรศัพท์ยังคงเป็นไปตามสไตล์ของซัมซุงเหมือนเดิม มีการแบ่งแถบออกเป็น 4 ส่วนคือ ปุ่มกด ประวัติการใช้งาน เบอร์ที่ใช้บ่อย และแสดงรายชื่อทั้งหมด ตัวปุ่มกดจะมีระบบเดารายชื่อให้ใช้งานด้วย ขณะที่หน้าจอสนทนานอกจากแสดงชื่อ หมายเลข รูปภาพแล้ว ยังสามารถกดเพิ่มสาย เรียกปุ่มกด เปิดลำโพง ปิดเสียง ต่อบลูทูธ การรับสายใช้การสไลด์ปุ่มเหมือนเดิม



กรณีที่สนทนาอยู่แล้วต้องการจดบันทึกด่วนก็สามารถถอดปากกา S-Pen ออกมาเพื่อจดได้ทันที หรือจะกดเข้าเมนูไปเลือก Action Memo เพิ่มเติมก็ได้ นอกจากนี้ยังมีความสามารถพิเศษในการส่งไฟล์รูปแบบ หรือข้อความผ่านระบบ SMS ทันที โดยใช้การกดปุ่มย่อหน้าจอที่มุมขวาบน (หรือใช้นิ้วปาดจากมุมขวาบน) หลังจากนั้นกดเข้าโหมดเพื่อลากข้อความ หรือรูปภาพที่ต้องการส่งเข้าไปในกรอบก็สามารถส่งได้ทันที





จากเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และ วัดรังสียูวี เมื่อเปิดใช้งาน S Helath ก็จะมีการขึ้นแสดงผล ควบคู่ไปกับปริมาณแคลอรี่ และจำนวนก้าวเดินในแต่ละวันด้วย ทั้งนี้การวัดอัตราการเต้นของหัวใจก็จะเหมือนใน Galaxy S5 โดยใช้นิ้ววางลงไปบนเซ็นเซอร์ หลังจากนั้นผู้ใช้สามารถใส่ Tag เข้าไปได้ว่าขณะนี้กำลังทำอะไรอยู่เพื่อย้อนมาดู ส่วนการวัดรังสียูวี ให้ใช้การคว่ำเครื่องเข้าหาแสง ตัวเครื่องจะวัดระดับความอันตรายของแสงออกมาเป็น 5 ระดับ



มาดูในมุมของการป้อนข้อมูลกันบ้าง เริ่มกันจากในส่วนของคีย์บอร์ด การเปลี่ยนภาษาทำได้ด้วยการเลื่อนนิ้วทางซ้าย-ขวา บริเวณปุ่มเว้นวรรค ตัวเลย์เอาท์เป็นไปตามคีย์บอร์ดมาตรฐาน จุดเด่นก็คือตัวคีย์บอร์ดรองรับการเขียนด้วยลายมืดแล้วแปลออกมาเป็นตัวอักษรทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความแม่นยำขึ้นกว่าครั้งแรกที่เปิดตัวใน Note 8 ค่อนข้างเยอะ



แน่นอนว่าความสามารถหลักของตระกูล Note คงหนีไม่พ้นเรื่องของ S-Pen โดยเมื่อถือปากกาลอยขึ้นมาเหนือหน้าจอระยะไม่เกิน 1 ซ.ม. เมื่อกดปุ่มที่หน้าจอจะขึ้นเมนูลัดมาให้เลือกเข้าไปใช้งานฟังก์ชันต่างๆของ S-Pen ประกอบไปด้วย Action Memo Smart Select Image Clip และ Screen write

ความสามารถของ Action Meno คือเป็นการเรียกหน้าต่างกระดาษจดโน้ตย่อขึ้นมา โดยเมื่อเขียนลงไปในโน้ตแล้วจะสามารถเลือกใช้ช้อความเหล่านั้นได้ทันที อย่างเช่นจดเบอร์โทรศัพท์ ก็กดโทรออก หรือบันทึกเป็นรายชื่อผู้ติดต่อ จดอีเมล ก็สามารถเข้าไปส่งเมลได้ทันที จด URL เว็บก็สามารถกดเข้าเว็บไซต์ได้เป็นต้น

ถัดมาในส่วนของ Smart Select คือฟังก์ชันในการวาดปากกาลงบนหน้าจอ เพื่อเก็บภาพเฉพาะส่วนที่ต้องการ หรือเลือกทำแถบดำตัวอักษรที่ต้องการ หลังจากวาดแล้วสามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงได้ตามต้องการ หลังจากนั้นจะเก็บรวบไว้ในสมุดรวมภาพ หรือทำการแชร์ต่อไปยังโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครื่องมือต่างๆได้ทันที

นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มความสามารถในการนำกล้องมาถ่ายภาพเอกสาร หรือตัวอักษร หลังจากนั้นแปลงออกมาเป็นข้อมูลในรูปแบบเอกสาร แล้วจดข้อความเพิ่มเติมได้ทันทีในชื่อที่เรียกว่า Photo Note หรือถ้าต้องการใช้ปากกาในการเลือกไฟล์ หรือรูปภาพแทนเมาส์ก็สามารถใช้งานได้คล้ายๆกัน



ขณะที่ในส่วนของฟังก์ชันอย่าง Air View ก็ยังรองรับการใช้งานควบคู่กับแอป อีเมล ดูรูป ปฏิทิน อยู่ตามเติม ส่วนกรณีที่ต้องการใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ด้วย S-Pen ก็จะมีการอำนวยความสะดวกผู้ใช้อย่างการกดที่แถบ URL เพื่อเรียกใช้งาน Action Meno เพื่อดึง URL เว็บมาแชร์ต่อหรือบันทึกไว้ได้ทันที พร้อมกับฟังก์ชันในการใช้ปากกา มาจิ้มลอยๆไว้บนหน้าจอที่บริเวณขอบบนหรือล่างเพื่อเลื่อนหน้าเว็บเบราว์เซอร์โดยไม่ค้องสัมผัส



ส่วนแอปฯอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมีอย่าง My File ที่เป็นแอปจัดการไฟล์ในตัวเครื่อง เมื่อกดเข้าไปจะสามารถแยกดูไฟล์ประเภทต่างๆได้เลย ถ้าต้องการดูไฟล์ล่าสุด ดูไฟล์ทั้งหมดในตัวเครื่อง หรือเข้าไปใช้งานไฟล์ในระบบคลาวด์อย่าง Dropbox ตัวแอปก็พร้อมให้ใช้งานได้

อีกอันหนึ่งคือแอปอย่างการบันทึกเสียง ที่นำความสามารถของการฝังไมโครโฟนไว้รอบตัวเครื่องของ Note 4 มาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้สามารถเลือกประเภทของเสียงในการบันทึกได้อย่าง บันทึกเสียงปกติ บันทึกเสียงสัมภาษณ์ บันทึกเสียงขณะประชุม และการอัดเสียงพูด



กล้องถือเป็นอีกหนึ่งส่วนที่มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นใน Note 4 จากความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมเพิ่มโหมดกันสั่น OIS การแสดงผลภาพ Live HDR พร้อมการโฟกัสที่รวดเร็วขึ้น ส่วนวิดีโอสามารถถ่ายที่ความละเอียด UHD ได้ แต่จะไม่สามารถซูมภาพได้

โดยในส่วนของกล้องหน้าที่ความละเอียด 3.7 ล้านพิกเซล f.19 ก็มีการเพิ่มโหมดพิเศษอย่าง Wide Selfie ที่ใช้หลักการของการบันทึกภาพพาโนรามา มาช่วยให้การใช้กล้องหน้าบันทึกภาพในมุมกว้าง 120 องศา ด้วยการหมุนข้อมือไปมาเพื่อเก็บภาพให้ได้ครบมากขึ้น ที่สำคัญตือสามารถใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับชีพจนข้างหลังแทนปุ่มชัตเตอร์กล้องได้ด้วย



มาถึงในส่วนของการตั้งค่า Note 4 จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เลือกการตั้งค่าที่ใช้งานประจำมาวางรวมกันไว้ในส่วนบนสุด หรือถ้าไม่ต้องการก็สามารถจัดเรียงใหม่ได้ แต่ในส่วนของการตั้งค่าปกติก็จะแยกในส่วนของการเชื่อมต่อ ตัวเครื่อง การใช้งาน และระบบของเครื่องตามแอนดรอยด์ปกติ



นอกจากนี้ก็จะมีในส่วนของ Safty Assistance ที่เป็นเหมือนระบบฉุกเฉินให้ไว้ใช้งานกรณีเร่งด่วน ทั้งนี้พื้นที่ภายในที่เหลือให้ใช้งานจะเหลืออยู่ประมาณ 23 GB จาก 32 GB ส่วนระบบ Motion and Gestures อย่าง Direct Call ที่ยกสมาร์ทโฟนแนบหูเพื่อโทรออกหรือรับสาย Smart Alert เพิ่มเสียงการแจ้งเตือนอัตโนมัติ Mute/Pause คว่ำเครื่องเพื่อปิดเสียง และ Palm swipe to capture ใช้สันมือปาดหน้าจอเพื่อจับภาพหน้าจอก็ยังมีให้ใช้งาน




ในส่วนของระบบความปลอดภัยเนื่องจากตัวเครื่องมาพร้อมกับระบบสแกนลายนิ้วมือเช่นเดียวกับใน Galaxy S5 และ Tab S ส่งผลให้ผู้ใช้งานสามารถเปิดใช้ Samsung Knox หรือตัว Private Mode ที่จะแยกเก็บข้อมูลที่เป็นความลับไว้ให้ใช้งานเมื่อมีการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ รวมไปถึงโหมดปิดกั้นการแจ้งเตือนต่างๆ ที่สามารถตั้งเวลา และยกเว้นเลขหมายสำคัญไว้ได้



ระบบประหยัดพลังงานอย่าง Ultra Power Saving Mode ก็ยังมีมาให้ใช้งานกัน โดยเมื่อเปิดใช้งานโหมดดังกล่าวตัวเครื่องจะทำการตัดฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นออกเหลือเพียงฟังก์ชันหลักๆอย่างโทรศัพท์ ข้อความ อีเมล เว็บเบราว์เซอร์ และแอปแชทเท่านั้น ในส่วนของการเชื่อมต่อไวไฟมีระบบที่น่าสนใจคือ Smart Network Switch ที่จะสลับการเชื่อมต่อไวไฟ 2.4 GHz และ 5 GHz โดยอัตโนมัติเมื่อสัญญาณอันใดอันหนึ่งอ่อน รวมไปถึงสามารถเลือกตั้งเวลาเปิด-ปิดการเชื่อมต่อไว้ล่วงหน้าได้ด้วย



เมื่อมาดูในส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 2,5871 คะแนน และ 50,126 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo จากเว็บเบราว์เซอร์ได้ 3,956 คะแนน โครมเบราว์เซอร์ 3,245 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ (Metal) 1,846 คะแนน Multicore 2,313 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 และ Nenamark2 59.8 fps An3dBench 8,005 คะแนน และ An3dBenchXL 49,541 คะแนน



ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 6,756 คะแนน CPU 28,700 คะแนน Disk 43,983 คะแนน Memory 4,464 คะแนน 2D Graphics 5,136 คะแนน และ 3D Graphics 2,210 คะแนน



ส่วนการทดสอบ 3D Mark ตัว Ice Storm Unlimited ได้ 12,449 คะแนน ส่วน Ice Storm Extream และ Ice Storm คะแนนทะลุเกินไป ขณะที่ CF-Bench ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง



จุดขาย

- ปากกา S-Pen สารพัดประโยชน์ ที่ฉลาดขึ้น และแม่นยำมากขึ้น
- หน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K
- ประสิทธิภาพตัวเครื่องจากซีพียู Exynos ไม่เป็นรอง Snapdragon แล้ว 8 คอร์ RAM 3 GB
- วัสดุการประกอบดูมีคุณภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- มีการใส่เซ็นเซอร์ที่อาจเป็นประโยชน์ในอนาคตอย่าง วีดชีพจร และวัดแสง UV มาให้ด้วย
- ตัวเครื่องรองรับการเชื่อมต่อ 4G NFC

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

- ถ้าไม่ชอบเครื่องใหญ่ และไม่ได้ใช้ปากกา มองข้ามไปได้เลย
- ฟังก์ชันของกล้องหลากหลายดี แต่คุณภาพยังไม่ถึงกับดีที่สุด
- แม้ตัวเครื่องจะให้ RAM มาเยอะ แต่เหลือให้ใช้เพียงนิดเดียว

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป



ถ้าเป็นผู้ใช้งานที่ชื่นชอบสินค้าในตระกูล Note เป็นชีวิตจิตใจอยู่แล้ว การเปลี่ยนจาก Note หรือ Note 2 ให้กลายเป็น Note 4 ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย แต่ว่าถ้าใช้ Note 3 อยู่แล้วต้องการเปลี่ยน ก็ดูแล้วจะไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่ เพราะฟังก์ชันที่เพิ่มมาใน Note 4 บางอย่างไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น รวมไปถึงบางฟังก์ชันของ S-Pen เมื่อมีการอัปเดตใน Note 3 ก็จะใช้งานได้ใกล้เคียงกันด้วย

ส่วนกรณีถ้าเป็นผู้ใช้งานที่อยากได้สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ ประสิทธิภาพสูง และราคาไม่ใช่เหตุผลสำคัญในการเลือกซื้อสินค้าเชื่อว่าตอนนี้ Note 4 กำลังกลายเป็นตัวเลือกหลักในระดับราคานี้ก็ว่าได้ เพราะจากความสามารถของตัวเครื่องที่ได้ เรียกว่าซัมซุงใส่มาสุดกับผลิตภัณฑ์รุ่นนี้



ที่น่าเสียดายไม่น้อยคือเรื่องของราคาวางจำหน่ายที่เปิดมาที่ 25,900 บาท โดยจะเริ่มวางจำหน่ายทั่วประเทศในวันที่ 13 ตุลาคม แม้ว่าจะมีราคาช่วงโปรโมชันภายในงาน TME 2014 ครั้งที่ผ่านมาเหลือ 24,900 บาท สำหรับผู้ที่ไปสั่งจองล่วงหน้าก็ตาม

โดยเหตุผลหลักเรื่องการปรับราคาขึ้นคือค่าเงินบาทที่อ่อนตัวส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น ทำให้ราคาเปิดตัวสูงตามไปด้วย ดังจะเห็นได้จากสมาร์ทโฟนจากค่ายคู่แข่งที่ดูแล้วมีโอกาสปรับราคาขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ถ้าไม่รีบมากนักรอปรับราคาลงหลังจำหน่ายไปได้สักพักค่อยหามาครอบครองดูจะคุ้มค่ากว่า

ปล.เครื่องที่วางจำหน่ายจริงจะไม่มีสัญลักษณ์บาร์โค้ตบริเวณบนและล่างหน้าจอ

Company Related Links :
Samsung

CyberBiz Social



http://instagram.com/cbizonline


















กำลังโหลดความคิดเห็น