xs
xsm
sm
md
lg

Review: Nikon D5200 กล้องเล็กใจใหญ่ ฟังก์ชันครบ เซ็นเซอร์ 24.1 ล้านพิกเซล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online




"เก่าไปใหม่มา (และประสิทธิภาพดีกว่าเดิม)" เป็นประโยคที่ใช้ได้ตลอดทุกปีเมื่อเทคโนโลยีเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง อย่างเช่นกล้องดิจิตอลเอสแอลอาร์ Nikon D5200 ที่มาพร้อมการพัฒนาต่อจากรุ่น D5100 ไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะภายในที่อัดแน่นด้วยชิปประมวลผลภาพที่ทางนิคอนเลือกใช้ชิปประมวลผลตัวเดียวกับรุ่นพี่ขาใหญ่ Nikon D4 พร้อมจุดขายของตระกูล D5xxx อย่างหน้าจอปรับองศาการมองได้หลากหลายองศา รวมถึงสเปกการโฟกัสผ่าน Live View ที่ทำได้รวดเร็วขึ้นมาก

ซึ่งในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซจะพาทุกท่านไปรับชมรีวิว Nikon D5200 ในรูปแบบกึ่งพาเที่ยวกึ่งบทความรีวิวตามแบบฉบับไซเบอร์บิซ ผู้จัดการออนไลน์อีกครั้ง

การออกแบบ



มองจากรูปลักษณ์ ภายนอก Nikon D5200 ไม่แตกต่างจากรุ่นเดิม D5100 มากนัก โดยบอดี้ส่วนใหญ่จะเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนต ขนาดลำตัว 129.0 x 98.0 x 78.0 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนัก 555 กรัม (รวมแบตเตอรีและการ์ดความจำ) และเมาท์เลนส์ที่ใช้จะเป็น F Mount สามารถใส่กับเลนส์ของนิคอนได้ทั้งหมด แต่ถ้าจะใช้งานออโต้โฟกัสต้องเลือกเฉพาะเลนส์นิคอนที่มีมอเตอร์โฟกัสเท่านั้น (สังเกตที่เลนส์ ส่วนใหญ่ถ้ามีมอเตอร์โฟกัสในตัวจะมีปุ่มปรับ Auto/Manual Focus ได้จากกระบอกเลนส์) เนื่องจากตัวกล้อง D5200 ไม่มีมอเตอร์โฟกัสในตัวเอง

**สำหรับชุดที่ทีมงานได้รับมาทดสอบจะมาพร้อมเลนส์ AF-S 18-105 VR**





มาที่ด้านหลังของตัวกล้องกับหน้าจอ TFT ขนาด 3 นิ้ว (สัมผัสไม่ได้) ความละเอียด 921k พับเปลี่ยนองศาได้ถึง 170 องศา ถัดจากหน้าจอไปทางด้านบนจะเป็นช่องมองภาพ Optical Viewfinder ครอบคลุมมุมมองภาพแค่ 95% (ถ้าอยากได้มุมมองภาพแบบ 100% เต็มต้องเปิดใช้งาน Live View)



ถัดมาด้านขวามือทั้งหมดจะเป็นส่วนควบคุมการปรับแต่งค่ากล้องทั้งหมดเริ่มจากปุ่มตัวอักษร i (มีจุดสีเขียว) ปุ่มนี้คือปุ่มเรียกเมนูปรับแต่งขนาดภาพ, White Balance, ISO, โฟกัสแบบรวดเร็วขึ้นมา โดยปุ่ม i จะเป็นเหมือนหัวใจในการเข้าถึงส่วนตั้งค่ากล้องได้ดีผ่านหน้าจอ Live View (เพราะ D5200 ไม่มีจอแสดงค่ากล้องเหมือน D7000)

มาที่ปุ่ม AE-L/AF-L หรือปุ่มกดสำหรับล็อคค่าแสงและโฟกัสถัดไปจะเป็นวงแหวนหมุนสำหรับใช้ปรับค่ากล้องตามโหมดใช้งาน เช่น เมื่ออยู่ในโหมด S แล้วหมุนวงแหวนจะเท่ากับว่าเป็นการปรับความเร็วชัตเตอร์ หรือเมื่ออยู่ในโหมดแสดงพรีวิวรูป เมื่อหมุนวงแหวนจะเท่ากับเปลี่ยนไปรูปถัดไป เป็นต้น

ส่วนด้านล่างจากยางรองนิ้วโป้งที่ทางนิคอนออกแบบมาให้ใหญ่กว่ารุ่น D5100 เพื่อการจับถือที่ถนัดกว่าเดิม ถัดลงไปจะเป็นปุ่มพรีวิวภาพ - ปุ่มทิศทางควบคุมหน้าเมนูและการตั้งค่ากล้อง - ปุ่มซูมเข้า-ออก - ปุ่มลบภาพและสุดท้ายไฟแสดงสถานะการทำงานของการ์ดความจำ



มาถึงส่วนกะโหลกกล้อง ชัดเจนสุดคงเป็น Hot Shoe เสียบไฟแฟลช อุปกรณ์เสริมต่างๆ เหนือขึ้นไปจะเป็นไมโครโฟนสเตอริโอ รับเสียงซ้าย-ขวา มาทางด้านขวามือจะเป็นวงแหวนปรับโหมดถ่ายภาพที่นิคอนตั้งใจออกแบบมาให้เข้าใจง่ายเพราะมีภาพและตัวอักษรบอกชัดเจน

ส่วนโหมดถ่ายภาพแบบแมนวลและกึ่งอัตโนมัติจะถูกแบ่งด้วยเส้นกั้นพร้อมตัวอักษร M-Manual A-Aperture Mode S-Shutter Mode และ P-Program (กึ่งอัตโนมัติ)

ถัดจากวงแหวนปรับโหมดถ่ายภาพมาที่ก้านข้างๆ วงแหวนที่มาพร้อมลูกศรชี้ลงและตัวอักษร Lv โดยเมื่อผู้ใช้ดันก้านนี้ลงมาที่ตัวอักษร Lv จะเป็นการปรับโหมดจากช่องมองภาพ Optical ไปเป็น Live View (มองภาพจากจอภาพหลังกล้อง) ส่วนเมื่อดันลงอีกครั้งจะกลับไปสู่โหมดมองภาพผ่านช่องมองภาพ Optical Viewfinder อีกครั้ง

สุดท้ายในส่วนของปุ่มคำสั่งที่อยู่บนกริปทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ ปุ่มชัตเตอร์ซึ่งถูกล้อมด้วยสวิตซ์ปิด-เปิดกล้อง ปุ่มที่มีจุดสีแดงใช้สำหรับบันทึกวิดีโอ info สำหรับใช้แสดงข้อมูลภาพที่ถ่าย +/- ชดเชยแสงและปุ่มปรับโหมดถ่ายภาพอย่างรวดเร็ว

ซึ่งการจัดวางของปุ่มคำสั่งต่างๆ ใน Nikon D5200 ถือว่าทำได้ดี และสะดวกต่อการเรียกใช้งานถึงแม้่บอดี้กล้องจะมีขนาดเล็กและไร้จอ LCD บอกข้อมูลถ่ายภาพก็ตาม แต่การจัดวางปุ่มคำสั่งสำคัญไว้ให้กดใช้งานได้อย่างสะดวกนี้ จะช่วยทำให้การใช้งานกล้องในแต่ละสถานการณ์ทำได้คล่องตัวแบบเดียวกับกล้องตัวใหญ่



ในส่วนช่องเชื่อมต่อและปุ่มคำสั่งอื่นๆ รอบตัวเครื่อง ด้านซ้ายมือ บริเวณเหนือโลโก้ D5200 จะเป็นปุ่มคำสั่งเปิดไฟแฟลชป๊อปอัพ (รูปสายฟ้า) และเมื่อไฟแฟลชเปิดใช้งานแล้วกดปุ่มนี้ค้างไว้จะสามารถปรับชดเชยแสงแฟลชได้ ส่วนปุ่ม Fn เป็นปุ่มฟังก์ชันเข้าสู่โหมดตั้งค่าตามที่ผู้ใช้ตั้งไว้ได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับพอร์ตเชื่อมต่อประกอบด้วย USB-A/V Out, Mic in สำหรับต่อไมโครโฟรภายนอกผ่านพอร์ต 3.5 มิลลิเมตร, miniHDMI และพอร์ตสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ตรวจจับ GPS



มาที่ช่องเชื่อมต่อด้านขวาของตัวกล้องจะเป็นพื้นที่ของกริปที่ใช้วัสดุเป็นยางจับกระชับมือพร้อมช่องใส่การ์ดความจำ รองรับการ์ด SD (UHS-I), SDHC และ SDXC ส่วนแบตเตอรีจะใช้เป็น Li-ion EN-EL14

สเปก



มาถึงสเปกกล้อง Nikon D5200 จะมาพร้อมเซ็นเซอร์รับภาพ APS-C CMOS ความละเอียดสูง 24.1 ล้านพิกเซล (6,000x4,000 พิกเซล) รองรับไฟล์นามสกุล RAW (NEF) แบบ 14 บิต และ JPEG

ในส่วนค่าความไวแสง (ISO) จะเริ่มต้นที่ 100-6,400 และสามารถขยายได้สูงถึง 25,600 และเลือกปรับแบบ AutoISO ได้ด้วย




ด้านการบันทึกวิดีโอสามารถเลือกถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด 1,920x1,080 พิกเซล 60i พร้อมโหมดถ่ายวิดีโอแบบ Manual ปรับตั้งค่าเองได้ทั้งหมด และในส่วนของไมโครโฟนที่เชื่อมต่อจากภายนอกผ่านช่องเสียบขนาด 3.5 มิลลิเมตรก็ยังสามารถควบคุมระดับเสียงของไมค์ได้เองด้วย




มาในเรื่องระบบโฟกัสของ D5200 จะเลือกใช้ Nikon Multi-CAM 4800DX ที่ให้จุดโฟกัสมา 39 จุด (9 จุดแบบ Cross-type) บนหน้าจอโฟกัสแบบ Type B BriteView Clear Matte Mark VII รุ่นใหม่ ที่มีความโดดเด่นในเรื่องความสามารถในเรื่องออโต้โฟกัสผ่านหน้า Live View ได้รวดเร็วกว่า Nikon D5100 ในขณะที่การโฟกัสวัตถุผ่าน Optical Viewfinder ก็รวดเร็วเช่นกัน รวมถึงระบบโฟกัสติดตามวัตถุสามารถทำได้ลื่นไหลกว่าเดิมมาก

สำหรับผู้อ่านที่สนใจรายละเอียดส่วนสเปก Nikon D5200 เพิ่มเติมสามารถรับชมได้โดย >กดที่นี่<

ฟีเจอร์เด่น

อย่างที่ทราบกันดีว่าปีนี้นิคอนพยายามปรับตลาดกล้องระดับเริ่มต้นถึงกึ่งมืออาชีพหลายรุ่นให้มีลูกเล่น ความน่าสนใจและประสิทธิภาพที่สามารถเทียบชั้นกล้องรุ่นใหญ่หลายตัวได้ แน่นอนว่า Nikon D5200 เป็นหนึ่งในกล้องที่นิคอนตั้งใจทำตลาดเพื่อต่อยอดความสำเร็จจาก Nikon D5100 ที่เคยประสบความสำเร็จไปแล้วเมื่อปีก่อนๆ

โดยสิ่งที่นิคอนเลือกปรับปรุงใหม่ให้กับ D5200 ก็คือเรื่องฟีเจอร์ที่สดใหม่ดังต่อไปนี้



Retouch Menu ใน Nikon D5200 นิคอนเพิ่มความสามารถให้ซอฟต์แวร์กล้องสามารถปรับแต่งภาพได้จากหลักกล้องตั้งแต่ ตัดภาพ ครอป ย่อขนาดภาพเพื่อส่งอีเมล์ หรือแม้แต่ใส่เอ็ฟเฟ็กต์ดูดสี Fisheyes, Miniature Effect และสามารถตัดหัว-ท้ายคลิปได้ด้วย



ตัวอย่างเอ็ฟเฟ็กต์ดูดสี Selective color

DSC_0002
ตัวอย่าง Miniature Effect

DSC_0013
ตัวอย่าง Color sketch



NEF (RAW) processing ซอฟต์แวร์สำหรับจัดการไฟล์ดิบหลังกล้องพร้อมความสามารถในการลดขนาดภาพ ปรับแต่งสี White Balance และ ISO ได้สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการไฟล์งาน JPEG เร่งด่วนจากหลังกล้อง



Night Vision โหมดพิเศษที่ช่วยให้สามารถมองเห็นวัตถุในที่มืดได้ โดยใช้หลักเพิ่ม ISO จนถึงขีดสูงสุดที่กล้องจะรับได้พร้อมปรับแสงและคอนทราสต์ให้สว่างที่สุดพร้อมปรับภาพเป็นขาว-ดำจนทำให้เราสามารถมองเห็นวัตถุในที่มืดได้

แต่ถ้าจะนำไฟล์ภาพมาใช้งานจริงคงเป็นเรื่องยาก เพราะคุณภาพของภาพที่ได้ค่อนข้างต่ำพอสมควร


ขวา ภาพต้นฉบับที่แอบถ่ายจากอีกมุมถนน ซ้าย ภาพที่ถูกครอปมาแล้วพร้อมจัดองค์ประกอบและตกแต่งภาพใหม่ผ่าน Adobe Photoshop Lightroom 5 Beta จะเห็นว่าให้อารมณ์ที่แตกต่างกัน และด้วยขนาดภาพจริงอยู่ที่ 6,000x4,000 พิกเซล ทำให้เมื่อครอปออกมาแล้วยังได้ไฟล์ที่มีขนาดใหญ่อยู่
24mpfeature1-(1-of-1)

24.1 ล้านพิกเซล เป็นความพิเศษสุดของ Nikon D5200 ที่หาได้ยากในตลาดระดับนี้ โดยความละเอียดสูงถึง 24.1 ล้านพิกเซลทำให้ผู้ใช้กล้องสามารถครอปภาพเพื่อจัดองค์ประกอบภาพได้โดยที่ผู้ใช้จะสูญเสียความละเอียดภาพน้อยที่สุด รวมถึงสามารถรับชมรายละเอียดของภาพ 100% ได้ชัดเจนขึ้น ดังตัวอย่างจากภาพประกอบด้านบน


ภาพนี้ถ่ายในระยะไวด์ 18 มิลลิเมตรที่ความละเอียดสูง 24.1 ล้านพิกเซล ซึ่งเมื่อซูม 100% จะพบว่าสามารถอ่านข้อความบนป้ายที่ติดอยู่ข้างบ้านได้ค่อนข้างชัดเจน

ทดสอบประสิทธิภาพ


RAW File = 29.3MB/JPEG = 12.4MB ต่อหนึ่งไฟล์ภาพ

ก่อนล้อหมุนออกเดินทางไปทดสอบกล้อง Nikon D5200 ทีมงานขอกล่าวถึงอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบรีวิวเล็กน้อยเริ่มจากเลนส์จะใช้เป็นคิทเลนส์ AF-S 18-105VR ส่วนการ์ดความจำเป็น Sony UHS-I 8GB ที่มีอัตราการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 40MB/s และสุดท้ายไฟล์ที่บันทึกจะเน้นไปที่ RAW ใหญ่สุด พร้อมโปรเซสภาพผ่าน Adobe Photoshop Lightroom 4 และ 5 Beta

ISOTest

เริ่มแรกเพื่อคลายข้อสงสัยว่า D5200 ที่ใช้หน่วยประมวลผลภาพชุดเดียวกับ D4 จะให้ผลลัพธ์เรื่อง Noise ที่ค่าความไวแสงแต่ละระดับได้ดีแค่ไหน

ซึ่งจากการทดสอบพบว่า ตั้งแต่ช่วง ISO 100-6,400 ให้สัญญาณรบกวนที่ค่อนข้างน้อยและที่น่าสนใจคือเม็ดสีที่เกิดขึ้นจากการดันค่าความไวแสงที่สูงนั้นน้อยมาก ส่วน ISO 12,800 ถึงแม้จะมี Noise เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อครอปซูม 100% แต่ถ้ามองในภาพรวมหรือใช้เพื่ออัปโหลดขึ้นเว็บไซต์ ถือว่าที่ค่า ISO 12,800 สามารถใช้งานได้จริงอย่างไม่มีปัญหา

ส่วนค่า ISO 25,600 ถือว่าใช้งานพอแก้ขัดเวลาจำเป็นต้องถ่ายในที่แสงน้อยเท่านั้น

N5200D-TEST-16

ส่วนถ้าผู้อ่านยังมีข้อกังขาเกี่ยวกับค่าความไวแสงสูงๆ ว่า Noise จะเยอะไหมถ้ามองในมุมภาพรวม (ไม่ซูม 100%) ภาพนี้คงให้คำตอบได้ดีเพราะทีมงานดัน ISO ไปอยู่ที่ 6,400 และได้ความเร็วชัตเตอร์อยู่ที่ 1/250 วินาที f5.6 ระยะเลนส์ 105 มิลลิเมตร

N5200D-TEST-15
ISO 3,200
N5200D-TEST-14
ISO 1,600

ทดสอบเรื่อง ISO กันให้จุใจกับค่าความไวแสง 3,200 (รูปบนสุด) และ 1,600 (รูปล่างสุด) พบว่าภาพที่ได้ค่อนข้างใส สีสันที่ได้ยังคงเป็นไปตามสไตล์จัดจ้านตามแบบฉบับนิคอนโดยที่ไม่มี Noise เม็ดสีมากลบสีสันของภาพให้จืดชืดลง

N5200D-TEST-10
1/125 วินาที, f/22 ISO 125 ระยะเลนส์ 18 มม.

N5200D-TEST-12
1/320 วินาที, f/9 ISO 125 ระยะเลนส์ 18 มม.

DSC_0049
Landscape Mode 1/125 วินาที, f/11 ISO 100 ระยะเลนส์ 18 มม.

มาที่สามภาพท้าพิสูจน์ความเป็นนิคอนกับเรื่องโทนสีสำหรับภาพวิว ทิวทัศน์ โดยสองภาพแรกใช้โหมด A ถ่ายปกติจะเห็นว่าโทนสีคอนทราสต์จัด สีฟ้าเป็นฟ้า เขียวเป็นเขียวยังได้อารมณ์นิคอนมาแบบเต็มๆ

ส่วนภาพชายทะเลภาพที่ 3 กับโหมด Landscape และตั้งรูปแบบไฟล์เป็น JPEG ดิบๆ พบว่า ภาพที่ได้สีสันจัดจ้านมากกว่าเดิม โดยเฉพาะสีฟ้าของท้องฟ้าและเขียวของใบหญ้าที่จัดจ้านมาก

N5200D-TEST-5
P-Mode 1/640 วินาที, f/5.6 ISO 1,250 ระยะเลนส์ 105 มม.

มาถึงการทดสอบการจับโฟกัสผ่าน Live View ที่นิคอนเครมว่าทำได้เร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว ก็คงพิสูจน์ได้จากรูปนี้ เพราะภาพนี้ทีมงานบังเอิญจับจังหวะถ่ายได้ ขณะเปิด Live View เล็งหามุมถ่ายวัตถุชิ้นหนึ่งอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีคุณพี่ผู้หญิงสองท่านขี่จักรยานผ่านเข้ามาในเฟรมภาพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในขณะที่คุณผู้หญิงท่านแรกหยุดจักรยานแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพอะไรสักอย่างอยู่ คุณผู้หญิงอีกท่านก็ขี่จักรยานช้าลง และจังหวะของผมก็มาถึง ผมรีบกดชัตเตอร์ลงครึ่งเพื่อโฟกัสวัตถุผ่าน Live View แน่นอนกล้องทำงานได้รวดเร็วมากถึงแม้จะยังโฟกัสได้ช้ากว่า Optical VF เล็กน้อย แต่ก็ถือว่ายังทำงานได้ดีกว่ารุ่นก่อนมากมาย

N5200D-TEST-4
A-Mode 1/40 วินาที, f/5 ISO 1,250 ระยะเลนส์ 18 มม.

ส่วนภาพนี้ไม่ได้ต้องการสื่อเทคนิคถ่ายภาพแต่อย่างใด แต่ต้องการให้เห็นถึงประโยชน์ของหน้าจอที่พับ ปรับเปลี่ยนองศาได้ว่าช่วยเสริมความสะดวกสบายสำหรับช่างภาพที่อยากหามุมมองถ่ายภาพแปลกใหม่

N5200D-TEST-6

ลองมาดูประโยชน์ของเซ็นเซอร์รับภาพ 24.1 ล้านพิกเซลกันบ้างกับภาพมังกรผงาดที่ทีมงานได้เลือกครอปจากภาพเต็มที่ถ่ายติดหลังคาบ้านมากมาย พร้อมจัดองค์ประกอบภาพใหม่ให้น่าสนใจขึ้นด้วยการเลือกหลังคาบ้านบางส่วนมาเป็นกรอบภาพเน้นให้มังกรดูเด่นขึ้น

แน่นอนว่าด้วยภาพที่ใหญ่ถึง 4,000x6,000 พิกเซล เมื่อครอปออกมาแล้ว ภาพที่ได้ยังคงมีขนาดใหญ่ ใช้งานเพื่อนำไปอัด-ขยายต่อได้ อีกทั้งความคมชัดก็มีพอสมควร

N5200D-TEST-13

ภาพสุดท้ายกับการทดสอบไดนามิก บาลานซ์ของแสงสีในภาพกับการมาของฟังก์ชันตามกระแสโหมด HDR ที่ใน D5200 สามารถเลือกถ่าย HDR ได้ตั้งแต่ AUTO LOW MID HIGH อย่างเช่นภาพนี้ ถ่าย HDR แบบ AUTO ก็ถือว่าผลลัพธ์ออกมาได้ดี และได้ภาพที่แปลกตาโดยไม่ต้องพึ่งซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพใดๆ

สำหรับตัวอย่างภาพถ่ายที่เหลือสามารถติดตามชมได้จากด้านล่าง และรับชมตัวอย่างภาพทั้งหมดแบบความละเอียดสูงได้โดยคลิกที่นี่

N5200D-TEST-17
A-Mode 1/250 วินาที, f/5.6 ISO 800 ระยะเลนส์ 105 มม.

N5200D-TEST-18
Landscape 1/1,000 วินาที, f/10 ISO 100 ระยะเลนส์ 52 มม.

N5200D-TEST-7
Macro Mode 1/60 วินาที, f/5.6 ISO 1,250 ระยะเลนส์ 92 มม.

ในส่วนการจับถือ ด้านน้ำหนักและรูปร่างของกล้องได้รับการออกแบบในส่วนยางกันลื่นใหม่หมด ทำให้จับกระชับมือขึ้นถึงแม้กล้องจะมีขนาดเล็ก ส่วนเรื่องการวางปุ่มคำสั่งต่างๆ ก็ถือว่าทำได้ดี เพราะผู้ใช้สามารถปรับตั้งค่ากล้องได้รวดเร็วจากปุ่ม i และ fn รวมไปถึงหน้าจอที่ปรับหมุน เปลี่ยนองศาการรับชมที่ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง

ส่วนแบตเตอรีที่ให้มาต้องยอมรับว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กและใช้งานจริง สำหรับการถ่ายภาพไม่ถือว่ามีปัญหาเพราะถ่ายได้หลายร้อยรูปก่อนแบตเตอรีจะหมด ส่วนถ้าถ่ายวิดีโอเป็นหลัก ก็ควรหาแบตฯ สำรองไว้อีกก้อนจะดีที่สุดครับ เพราะเจ้า Nikon D5200 ค่อนข้างบริโภคพลังงานได้มหาโหดพอสมควร

ทดสอบถ่ายวิดีโอที่ความละเอียด 1080@60p เข้า Codec: H.264, LPCM



ตอบจุดขาย/ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?

จุดขายหลักของ Nikon D5200 อยู่ที่การเป็นกล้อง DSLR สำหรับผู้ใช้งานระดับเบื้องต้นถึงมือโปรที่อยากหากล้องตัวที่สองไว้ใช้งาน D5200 ตอบสนองได้ทั้งหมด โดยเฉพาะฟีเจอร์และฟังก์ชันพิเศษ เอ็ฟเฟ็กต์ตกแต่งภาพที่ใส่เข้ามามากมายจนเรียกได้ว่า ถ้าคุณเป็นตากล้องมือใหม่ เพียงแค่ซื้อ D5200 มาใช้ คุณสามารถถ่ายภาพได้สวยงามโดยที่ไม่ต้องพึ่งซอฟต์แวร์ตกแต่งภาพในคอมพิวเตอร์ใดๆ เลย

เพราะ Nikon D5200 จัดการภาพทุกอย่างให้คุณได้ดั่งใจปรารถนา จนทีมงานไซเบอร์บิซเองก็หาข้อติติง ข้อสังเกตไล่ตั้งแต่วิดีโอไปถึงถ่ายภาพนิ่งที่ไม่ถูกใจได้ยากเสียจริงๆ (เพราะใช้แล้ว ถูกใจทุกครั้งที่บรรจงกดชัตเตอร์ลงไปตลอด) ยกเว้นเรื่องเทคโนโลยี นวัตกรรมที่ยังตามหลังคู่แข่งอยู่พอสมควร เพราะคู่แข่งเขาไปหน้าจอสัมผัสมัลติทัชกันแล้ว

กับราคาเริ่มต้นที่ 2 หมื่นต้นๆ โอ่..ไม่ต้องบรรยายอะไรแล้วครับ ตัวนี้ทีมงานไซเบอร์บิซขอเชียร์กันตรงๆ ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ระดับเบื้องต้นที่กำลังมองหากล้อง DSLR ตัวแรกหรือแม้แต่มือโปรที่อยากหันมาหา DSLR น้ำหนักเบาแต่ประสิทธิภาพดี Nikon D5200 ตอบโจทย์คุณได้แน่นอน

ต้องลองแล้วจะติดใจครับ...

Company Related Link :
Nikon

CyberBiz Social



Photobucket Photobucket Photobucket Photobucket Photobucket

กำลังโหลดความคิดเห็น