อีอีซี เจรจา UTA ยังไม่จบ ลดขนาด”สนามบินอู่ตะเภา”เริ่มต้น 3 ล้านคน/ปีเหตุยังไม่มีไฮสปีด 3 สนามบิน แต่ไม่ยอมรับลดไซด์ยัน 50 ปีคง 60 ล้านคน หวั่นกระทบสัญญา ทำประมาณการณ์ใหม่ เร่งสรุปในธ.ค.68 เปิดช่องประเมินผู้โดยสารปีที่ 30-40 ค่อยเจรจาแก้สัญญาดีกว่า
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยถึงคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ว่า การเจรจากับ บริษัท อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (บมจ.การบินกรุงเทพ หรือ บางกอกแอร์เวย์ส (BA) , บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ( BTS) และบมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นหรือ STEC )ในการปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภายังไม่เรียบร้อย โดย UTA ขอลดขนาดการพัฒนาขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารในระยะแรกแรก จากเดิมรองรับที่ 12 ล้านคนต่อปี เป็นเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนต่อปี ภายใต้เงื่อนไข ว่าในช่วงแรก ยังไม่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ซึ่งมีเหตุผลยอมรับได้ว่าการที่รถไฟความเร็วสูง 3 สนามบินยังไม่มา จำนวนผู้โดยสารของสนามบินในช่วงแรกก็น่าจะลดลงจากประมาณการณ์เดิม
ทั้งนี้ เป็นเจรจากันในเรื่องสมมุติฐานที่ใช้ในการประมาณการณ์จำนวนผู้โดยสาร ซึ่งอีอีซี ให้ UTA ไปทำข้อมูลอ้างอิงที่มาของตัวเลข 3 ล้านคนต่อปีเพิ่มเติม ว่ามีสาเหตุปัจจัยจากอะไรบ้าง เพราะเรื่องนี้อีอีซีต้องชี้แจงเหตุผลต่อสังคมได้ว่าทำไมถึงลดขนาดการพัฒนาระยะแรกลง รวมถึงให้ประมาณการณ์ตัวเลขการเติบโตของผู้โดยสารไปถึง 50 ปีด้วย ที่ UTA ได้ขอลดจำนวนผู้โดยสารลงจาก 60 ล้านคนต่อปีเหลือ 20-30 ล้านคนต่อปี โดย UTA ประมาณการณ์อ้างอิงว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะมีการพัฒนาศักยภาพและมีจำนวนผู้โดยสารสูงสุดถึง 150 ล้านคนต่อปี และสนามบินดอนเมืองมีจำนวนผู้โดยสารสูงถึง 80 ล้านคนต่อปี ซึ่งเป็นไปไม่ได้ อีอีซีมองว่า ตัวเลขอ้างอิงนั้นอาจจะสูงเกินไป เพราะการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมินอกจากศักยภาพอาคารผู้โดยสาร รันเวย์แล้ว ยังมีเรื่องโครงสร้างพื้นฐานโดยรอบ เส้นทางเข้าออกที่ยังเป็นข้อจำกัด
"การประเมินจำนวนผู้โดยสารของสนามบินสุุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองจะมีผลต่อการจำนวนผู้โดยสารที่จะมาใช้สนามบินอู่ตะเภา ดังนั้นต้องพิจารณาและวิเคราะห์อย่างรอบด้าน อย่างไรก็ตาม อีอีซีต้องการผลักดันให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ ภายใต้ยังไม่มีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในช่วงแรก จึงมีเหตุผลยอมรับได้ว่า จำนวนผู้โดยสารในช่วงแรกลดลง จากประมาณการณ์เดิม ที่ 12 ล้านคนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารควรเริ่มก่อสร้างภายในปี 2569 เพื่อให้สามารถเปิดอาคารผู้โดยสารให้บริการได้ สอดคล้องกับการเปิดใช้รันเวย์ที่ 2 ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างไปเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 และจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี "
นายจุฬากล่าวว่า จะเจรจาเรื่องการปรับแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้ได้ข้อยุติภายในเดือนธ.ค.2568 เพื่อนำไปพิจารณาต่อ เฟสแรกไม่น่ามีปัญหา การออกแบบก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร อาจจะทำที่ 6 ล้านคนหรือ 12 ล้านคน แต่สามารถแบ่งการเปิดเป็นเซกชั่นได้ เช่น เปิดที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน เมื่อมีผู้โดยสารในระดับ 80% ของขีดความสามารถก็เปิดในเฟสต่อไปเพราะเมื่อโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินออก NTP เริ่มงาน ได้ ตัวเลขประมาณการณ์ผู้โดยสารและการพัฒนาสนามบินต้องเปลี่ยนไปตามสมมุติฐานที่มีรถไฟความเร็วสูงด้วย แต่ตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือ UTA ต้องประมาณการณ์จำนวนผู้โดยสาร 50 ปี ว่าจะอยู่ที่เท่าไร
สำหรับการพัฒนาในส่วนของเมืองการบินขณะนี้ ได้ข้อสรุปเรื่องสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน 14 เรื่องแล้ว รอขั้นตอนการเสนอคณะกรรมการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดกพอ.) เท่านั้น ซึ่งอีอีซี พร้อมออกหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Notice to Proceed) และเป็นการเริ่นนับอายุสัญญา ซึ่งทาง UTA อาจจะต้องประเมินว่าฝั่งอาคารผู้โดยสารจะได้เริ่มก่อสร้างเมื่อใดด้วย เพราะไม่สามารถแยกออก NTP ออกเป็น 2 ส่วนได้ หากUTA อยากเริ่มเมืองการบินก่อน อาจจะใช้วิธีให้เช่าพื้นที่ไปดำเนินการเมืองการบินได้ก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายในสัปดาห์นี้ UTA จะส่งแผนการปรับลดขนาดและประมาณการณ์ผู้โดยสารตลอดอายุสัมปทาน 50 ปีใหม่ ให้อีอีซี ซึ่งแนวทางล่าสุด จะไม่มีการแก้ไขตัวเลขผู้โดยสาร 60 ล้านคนต่อปี แต่จะรอไปถึงปีที่ 40 ค่อยประเมินผู้โดยสารอีกครั้ง ว่าระยะเวลาที่เหลือก่อนหมดสัมปทานผู้โดยสารจะถึง 60 ล้านคนหรือไม่ หากไม่ถึง ก็อาจจะพิจารณาเรื่องแก้ไขสัญญากันตอนนั้นแทน เพราะในวันนี้ คงไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องอีก 40-50 ปีข้างหน้าได้ ดังนั้นต้องยึดตามเงื่อนไขสัญญาที่ 60 ล้านคนต่อปีไปก่อน


