xs
xsm
sm
md
lg

เปิดวิสัยทัศน์ “นรินทร์” ผู้ว่า กฟผ. คนที่ 17 ปรับบทบาท กฟผ. สู่ผู้นำเปลี่ยนผ่านพลังงาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ดร.นรินทร์ เผ่าวณิช รับตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนที่17 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 นับเป็นผู้ว่าการ กฟผ. ที่มีอายุน้อยที่สุดเพียง 51 ปี แต่มีประวัติผ่านการทำงานอย่างครบเครื่องในตำแหน่งที่สำคัญใน กฟผ. ทั้งผู้ช่วยผู้ว่าการวิศวกรรมและก่อสร้างโรงไฟฟ้า ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารเชื้อเพลิง รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง และรองผู้ว่าการประจำสำนักงานผู้ว่าการ ได้รับการยอมรับและผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ กฟผ. คณะกรรมการกฟผ. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติในท้ายสุด


ตลอดวาระที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ กฟผ. 4 ปีข้างหน้านี้ ดร.นรินทร์ ประกาศวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อน กฟผ. ให้เป็นมากกว่าผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคง ไปสู่การดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าไทยและผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วยพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการบริหารจัดการแบบมืออาชีพ สร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวและการเติบอย่างยั่งยืน ถือเป็นยุคใหม่ของ กฟผ. (EGAT New Chapter) ในการเริ่มต้นบทบาทใหม่ครั้งสำคัญ


ภายใต้แนวคิดการบริหารจัดการองค์กร กฟผ. นี้ มีการนำนโยบายความสมดุลพลังงาน 3 ด้านของกระทรวงพลังงาน “มั่นคง-ยั่งยืน-เป็นธรรม” มารวมกับ 2 เสาหลักภารกิจที่สำคัญของ กฟผ. ออกมา เป็นคำว่า “ SENSE” ที่มีความหมายลึกซึ้ง ดังนี้ คือ

S : ตัวแรก คือ Safety Operation ทำงานด้วยความปลอดภัย และมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงขึ้น โดยนำเทคโนโลยีใหม่และการถอดบทเรียนจากต่างประเทศมายกระดับความปลอดภัย

E : Energy security ความมั่นคงด้านไฟฟ้า

N : Naturality พลังงานสีเขียว พลังงานคาร์บอนต่ำ

S : Social Responsibility ความยั่งยืนของสังคมและชุมชน

E : Energy Affordability ราคาพลังงานที่เข้าถึงได้

เพื่อให้แนวทางการบริหารงานองค์กรทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องคำนึงปัจจัยเสี่ยงภายนอกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่โลกกำลังเผชิญภัยพิบัติที่รุนแรงและถี่ขึ้นในปัจจุบันอันเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจัยจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การมีส่วนร่วมของประชาชนที่มากขึ้น ปัจจัยจากสงครามการค้า (Trade War) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่มีผลกระทบต่อราคาพลังงาน และ Disruptive Technology หรือเทคโนโลยีพลิกโฉม อาทิ การเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ซึ่งบางคนมองว่าAI จะเข้ามาแย่งงานมนุษย์ แต่ “ดร.นรินทร์” มองเห็นประโยชน์ และมุ่งบริหาร กฟผ. ให้เป็นรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพโดยใช้ AI มาขับเคลื่อนการดำเนินงานโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ทำให้คน กฟผ. ทำงานได้ง่าย มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส และตรวจสอบได้ พร้อมสนับสนุนบุคลากรเรียนรู้ทักษะใหม่อย่างต่อเนื่อง

กอปรกับ นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศให้ประเทศไทยเข้าสู่ Net Zero ในปี ค.ศ.2050 เร็วขึ้นกว่าแผนเดิมถึง 15 ปี เพื่อไม่ให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ที่ได้ประกาศ Net Zero ปี 2050 ซึ่งธุรกิจสมัยใหม่มีการใช้พลังงานสีเขียวเพิ่มมากขึ้น ทำให้ กฟผ. ต้องเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ดังนี้

1. เร่งผลิตไฟฟ้าสีเขียวเพิ่มมากขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาและขยายระบบส่งไฟฟ้า (Grid) รองรับพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น จากนโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล มีโครงการที่เกี่ยวข้องกับ กฟผ. 2-3 เรื่องไม่ว่าจะเป็นการเร่งผลักดันโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อน กฟผ. เพิ่มอีก 3 เขื่อน ที่เขื่อนภูมิพล กำลังผลิต 778 เมกะวัตต์ เขื่อนศรีนครินทร์ กำลังผลิต 770 เมกะวัตต์ และเขื่อนวชิราลงกรณ กำลังผลิต 90 เมกะวัตต์ รวมกำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์


2.ขยายระบบส่งไฟฟ้า สืบเนื่องจากการเข้ามาลงทุนของอุตสาหกรรม Data Center เป็นจำนวนมากในประเทศไทย พบว่าบางโครงการมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากเท่ากับโรงไฟฟ้าหนึ่งโรง หรือบางรายมีการใช้ไฟฟ้าถึง 300-700 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่จะตั้งในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทำให้ กฟผ. ต้องเร่งขยายระบบส่งไฟฟ้าในพื้นที่ EEC ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 1,750 เมกะวัตต์ รองรับ Data Center คาดจะแล้วเสร็จในปลายปี 2569


ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ยังเห็นชอบหลักการให้ กฟผ. สามารถขายไฟฟ้าตรงให้กับกลุ่ม Data Center ที่ใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 200 เมกะวัตต์ได้ โดย กฟผ. จะทำหนังสือถึงสำนักงานกฤษฎีกาเพื่อแก้ไขกฎหมาย ซึ่งมติ กพช. ดังกล่าวเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กลุ่มData Center ในการจัดหาไฟฟ้า โดย กฟผ. ยืนยันไม่ใช่คู่แข่งกับการไฟฟ้าจำหน่ายแต่อย่างใด ซึ่งไฟฟ้าที่ กฟผ. จะขายให้กลุ่ม Data Centerนี้ ระยะแรกไม่ใช่ไฟฟ้าสีเขียว เพราะกลุ่ม Data Center ต้องการไฟฟ้าที่มีเสถียรก่อน แต่หลังจากนั้นอีก 3-4 ปี จะปรับเปลี่ยนเป็นไฟฟ้าสีเขียว

ปัจจุบัน อุตสาหกรรม Data Center แห่เข้ามาลงทุนในไทย คิดเป็นความต้องการใช้ไฟฟ้ามากถึง 3,817.5 เมกะวัตต์ โดย กฟผ. สามารถจ่ายไฟฟ้าจากระบบส่งที่มีความมั่นคงสูงให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่โดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุไฟฟ้าดับ และลดการลงทุนซ้ำซ้อน ที่สำคัญยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่ม Data Center ในการตัดสินเลือกไทยเป็นฐานธุรกิจ Data Center

ในอนาคตพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบเพิ่มมากขึ้น และภาครัฐเตรียมเปิดโครงการนำร่องการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA ) ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดเสรีไฟฟ้าของไทยนั้น กฟผ. ได้เตรียมพร้อมแผนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย (Grid Modernization)เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นระบบไฟฟ้า รองรับความผันผวนจากการเพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ โดยมีแผนพัฒนาโครงการ 3 แห่ง ได้แก่เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนกะทูน พัฒนาแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ที่สามารถจ่ายไฟเข้าระบบไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น


ดังนั้นหากมีพลังงานหมุนเวียนเข้ามาในระบบมากขึ้น กฟผ. จำเป็นต้องมีเครื่องมือหรือมีโรงไฟฟ้าที่พร้อมเดินเครื่องเพิ่มขึ้นรวมถึงการบริหารระบบส่งไฟฟ้ามากขึ้น ส่วนการเปิด Direct PPA กฟผ. มองเป็นโอกาสทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการดูแลการซัพพลายไฟฟ้าในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่สามารถจ่ายไฟได้ และการจัดการระบบส่งไฟฟ้า

จ่อทำสัญญานำเข้าแอลเอ็นจีระยะยาวจำนวน1ล้านตัน

ส่วนการดูแลค่าไฟฟ้าให้อยู่ระดับต่ำเพื่อลดค่าครองชีพให้กับประชาชนนั้น กฟผ. มีแผนดำเนินการจัดหาเชื้อเพลิงระยะยาวเพื่อบริหารต้นทุนค่าเชื้อเพลิตให้ต่ำที่สุด โดย กฟผ. มีแผนจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ระยะยาว 10-15 ปี จำนวน 1 ล้านตันต่อปี ขณะนี้มีผู้สนใจมากกว่า 20 ราย คาดว่าจะเปิดประกวดราคาภายในปี 2569 มั่นใจว่าจะสามารถจัดหาแอลเอ็นจีได้ในราคาต่ำกว่าราคามาตรฐานที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำหนดไว้

ปัจจุบันไทยต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนราว 50-60% ที่ผ่านมา กฟผ. ได้มีการนำเข้าแอลเอ็นจีระยะสั้นราว 0.8 ล้านตันต่อปี โดยได้ราคาที่ต่ำกว่าราคามาตรฐาน ขณะที่แนวโน้มราคาแอลเอ็นจีในปี 2569 จะไม่สูง เฉลี่ยอยู่ที่ 11-12 ดอลลาร์สหรัฐต่อล้านบีทียู หากไม่มีปัญหาสงคราม

ขณะเดียวกัน ก็เตรียมต่อยอดธุรกิจแอลเอ็นจี โดยบริษัท พีอี แอลเอ็นจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง กฟผ. กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ Topside สูบถ่ายแอลเอ็นจี จากเรือขนส่งเข้าสู่สถานีแอลเอ็นจีที่ท่าเทียบเรือที่ 2 ของสถานีแอลเอ็นจี มาบตาพุด แห่งที่ 2 จ.ระยอง รวมทั้งการยืดอายุโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำ อาทิ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ โรงไฟฟ้าน้ำพอง ซึ่งจะใช้เงินลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ต่ำกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทน ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุดสอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น


ผลักดันกฟผ.สู่ผู้นำเปลี่ยนผ่านพลังงาน

ดร.นรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารเชื้อเพลิง และรองผู้ว่าการเชื้อเพลิง ได้มีการศึกษาเทคโนโลยีใหม่และพลังงานในอนาคตเพื่อให้ประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นไฮโดรเจน โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage : CCS ) ระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่ (BESS) รวมถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) จึงเป็นจุดเปลี่ยนบทบาทของ กฟผ.เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานด้วยพลังงานสะอาดและ เทคโนโลยีอัจฉริยะ


ปัจจุบัน กฟผ. ศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับปรุงระบบเชื้อเพลิงผสมไฮโดรเจน ของไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมรวมทั้งสิ้น 6 โรงไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายนำไฮโดรเจนมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าร่วมกับก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% ได้แก่ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โรงไฟฟ้าพระนครใต้ โรงไฟฟ้าวังน้อย โรงไฟฟ้าบางปะกง โรงไฟฟ้าน้ำพอง และโรงไฟฟ้าจะนะ โดยอยู่ระหว่างการรายงานผลการศึกษา ข้อจำกัดของโรงไฟฟ้าต่อคณะกรรมการ กฟผ. รวมถึงการศึกษาและพัฒนาการผลิตเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียบนพื้นที่ที่มีศักยภาพด้วย

เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่ตอบโจทย์ความมั่นคง และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ขณะนี้ กฟผ.อยู่ระหว่างการศึกษาทั้งเทคโนโลยีและสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า SMR เนื่องจากร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (Draft PDP2024) กำหนดให้มีโรงไฟฟ้า SMR จำนวน 2 แห่ง แห่งละ 300 เมกะวัตต์ ในช่วงปลายแผน PDP โดยให้ กฟผ. เป็นผู้พัฒนาโครงการ


ซึ่งการเข้าสู่ Net Zero ของไทยในปี 2050 ทำให้ร่างแผน PDP ฉบับใหม่ มีโอกาสเร่งโรงไฟฟ้า SMR ให้เกิดเร็วขึ้น ซึ่ง กฟผ. พร้อมลงทุน โดยมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และยังได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและเจ้าของเทคโนโลยีในต่างประเทศ ที่สำคัญ กฟผ. เป็นหน่วยงานของรัฐ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในประเด็นความปลอดภัย ช่วยคลายความกังวลให้กับประชาชน จึงเป็นเหตุผลที่ภาครัฐให้ กฟผ. เป็นผู้ลงทุนพัฒนาโครงการSMR ในระยะแรก และหากเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนได้ กฟผ. ก็มีบริษัทในกลุ่ม กฟผ. ที่มีความพร้อม อาทิ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)หรือ EGCO และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH ที่สนใจและอยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยี SMR

สำหรับงบประมาณลงทุน ของ กฟผ. ในปี 2569 กว่า 22,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าประมาณ 13,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าประมาณ 180 ล้านบาท แผนระยะยาวและอื่น ๆ 9,200 ล้านบาท โดยปีหน้างบลงทุนส่วนใหญ่ใช้ขยายระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับธุรกิจ Data Center ที่จะเข้ามาลงทุนในอีอีซี


กฟผ. ถือเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งแรกของประเทศไทยที่ออกพันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน (SLB) วงเงิน 2,000 ล้านบาท เป็นการใช้เครื่องมือทางการเงินเชื่อมโยงกับการกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่จะลดอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการผลิตไฟฟ้า 1 หน่วย ในอัตราขั้นต่ำร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ. 2571 เป็นการตอกย้ำบทบาทของ กฟผ. ในการเป็นกลไกขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero

“ผมมีความหวังอยากจะให้ กฟผ. ไม่เป็นเพียงผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงเท่านั้น แต่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานไทยด้วยพลังงานสะอาด เทคโนโลยีอัจฉริยะ และการบริหารแบบมืออาชีพ เพื่ออนาคตที่มั่นคงยั่งยืนของประเทศ และคนไทยทุกคน” เป็นคำกล่าวของ ดร.นรินทร์ ที่พร้อมนำพา กฟผ. ก้าวสู่บทบาทใหม่ในอีก 4 ปีข้างหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น