xs
xsm
sm
md
lg

ถอดโมเดลจีน : ผู้นำการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด OR ปรับกลยุทธ์ธุรกิจตปท.-ขยายดีลเลอร์น้ำมันหล่อลื่นในจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จีนใช้เวลาเพียง 20ปีในการพลิกจากประเทศที่ปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลก ก้าวสู่ผู้นำด้านพลังงานสะอาดแซงหน้าหลายๆประเทศ ซึ่งเป็นผลหลังจากรัฐบาลจีนมีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดอย่างจริงจัง พร้อมทั้งจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของภาคอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2563 

นับได้ว่าจีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลักดันการเปลี่ยนผ่านพลังงานเร็วที่สุดในโลก และกลายเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และลมรายใหญ่ที่สุดของโลกรวมทั้งเป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยีพลังงานสะอาดไปยังประเทศอื่นๆด้วย เป็นเจ้าตลาดผลิตแผงโซลาร์เซลล์รายใหญ่ ล่าสุดมีการพัฒนาแผงโซลาร์เซลล์แบบกระจก ใช้ตามอาคารสำนักงาน นอกจากสวยงามแล้วยังผลิตกระแสไฟฟ้าได้ด้วย เช่นเดียวกับการเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV อันดับหนึ่งของโลก ที่ไม่หยุดยั้งมีการพัฒนาไปสู่รถยนต์บินได้ แม้ว่าอยู่ในช่วงทดสอบและคาดว่าจะเห็นการนำมาใช้เชิงพาณิชย์ในเร็วๆนี้


หากมองย้อนกลับไป จุดเริ่มการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วของจีน เริ่มจากการเปิดประเทศเมื่อปีคศ. 1978 ในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง ที่เป็นเจ้าของวลีเด็ด “ไม่ว่าแมวสีขาวหรือสีดำ ขอจับหนูได้ถือเป็นแมวดี” มีการปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างประเทศด้วยค่าแรงที่ถูก แรงงานเยอะ จึงเป็นแม่เหล็กชั้นดีในการดึงดูดบริษัทข้ามชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตในจีนเพื่อส่งออก ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานโลก รับจ้างผลิตสินค้าต่างๆ (OEM) นำเครื่องจักรต่างๆและหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิตให้ได้ปริมาณมากต้นทุนต่ำ

ด้วยอุปนิสัยคนจีนเป็นคนขยัน รักการค้าขาย ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจเอง เมื่อเรียนรู้เทคโนโลยีจากบริษัทต่างชาติได้ถึงจุดหนึ่ง ก็หันมาตั้งโรงงานผลิตเอง ประกอบกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้อุตสาหกรรมจีนผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพและมีแบรนด์เป็นของตนเอง โดยภาครัฐพร้อมสนับสนุนในทุกด้านทั้งการวิจัยและพัฒนา ฯลฯ เพื่อซัพพอร์ตภาคธุรกิจ ขณะที่ภาคเอกชนขานรับปรับเปลี่ยนจากผู้ผลิตสินค้าต้นทุนต่ำมาสู่การออกแบบ พัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ตัวเอง(OBM)ในปัจจุบัน โดยมีแรงกดดันจากนโยบายสหรัฐฯในยุค”ทรัมป์ 1” จีนเผชิญกับสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐฯ ได้ตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าสินค้าจากจีนตั้งแต่ 25% ขึ้นไป โดยเฉพาะสินค้าเทคโนโลยี ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภค จากเหตุการณ์นี้เอง ทำให้จีนตระหนักว่าการพึ่งพาตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯไม่ใช่สิ่งที่ดีอีกต่อไป ต้องเปิดตลาดส่งออกในประเทศอื่นๆเพิ่มมากขึ้น ทำให้สินค้าจีนเข้ามาทุ่มตลาดทั่วภูมิภาคของโลกโดยเฉพาะอาเซียน ขณะเดียวกันจีนก็หันมาทำตลาดภายในประเทศเองด้วย

การเน้นด้านวิจัยและพัฒนา(R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการปิดโรงงานอุตสาหกรรมที่เปิดมานานหลายสิบปีหากไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขการปล่อยมลพิษลงได้ ฯลฯ พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายต่างๆของประเทศ ส่งผ่านให้รัฐบาลดำเนินการ แล้วส่งต่อภาคเอกชนทำงานประสานไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตเทียบประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา


Baiyun Power Group ผู้นำด้านโซลูชันระบบไฟฟ้า-พลังงานสะอาด

บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR บริษัทแกนนำของกลุ่ม ปตท. ที่ดำเนินธุรกิจน้ำมันที่ครองส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันอันดับ1 ของไทย พาคณะสื่อมวลชนไปศึกษาดูงานที่เมืองกวางโจว และเมืองซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เพื่อเปิดมุมมองพลังงานในอนาคตที่จีนมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านพลังงานเร็วที่สุดในโลก ทั้งด้าน Green Energy, EV, Smart Mobility และ High-quality Development

โดยได้ศึกษาดูงานบริษัท Baiyun Power Group ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนชั้นนำด้านโซลูชันระบบไฟฟ้าและพลังงานสะอาดของจีน ที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และความพร้อมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานของประเทศอย่างครบวงจร

Baiyun Power Group ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2531 ปัจจุบันจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดประมาณ 4,208 ล้านหยวน เริ่มต้นจากธุรกิจตีเหล็ก ขยับมาผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตร และผันตัวไปผลิตอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า(Electrical Equipment Solutions) ที่สนับสนุนระบบโครงข่ายไฟฟ้าแรงสูง-แรงดันสูงของจีนมานานกว่า 30 ปี มีความโดดเด่นจากผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมระดับแรงดันตั้งแต่ 0.4 kV ถึง 1,100 kV กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีพอร์ตผลิตภัณฑ์ครบถ้วนที่สุดในประเทศ และยังเป็นผู้จัดหาอุปกรณ์และระบบควบคุมหลักให้กับโครงการสำคัญระดับชาติ เช่น State Grid, China Southern Power Grid ระบบรถไฟฟ้าในเมือง โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครกวางโจว


ส่วนโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า (EV Infrastructure) Baiyun Power Group มีความเชี่ยวชาญในการวิจัย พัฒนา และผลิตอุปกรณ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งแบบชาร์จเร็วกระแสตรง (DC Fast Charger) และชาร์จธรรมดากระแสสลับ (AC Charger) โดยนวัตกรรมที่ได้เห็นในทริปนี้ ซึ่งดูแตกต่างจากไทย คือ Vehicle-to-Grid (V2G) เป็นเทคโนโลยีที่ให้รถไฟฟ้า (EV) สามารถ “ชาร์จเข้าแบตเตอรี่” และในขณะเดียวกันสามารถส่งไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ของรถกลับไปที่โครงข่ายไฟฟ้า (grid) ได้ สร้างสมดุลพลังงานในระบบไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการใช้ไฟสูง (peak) โดยรถ EV ที่จอด และชาร์จไฟฟ้าในช่วงที่ราคาค่าไฟปกติสามารถชาร์จไฟขายกลับเข้าสู่ระบบได้ในช่วงPeak โดยได้รับอัตราค่าไฟที่สูง ซึ่งในอนาคตจะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้อีกทางหนึ่ง

ปัจจุบัน V2G ยังมีข้อจำกัดเชิงเทคนิคและโครงสร้างพื้นฐาน หลายด้าน เช่น ต้องเป็นรถที่ต้องรองรับมาตรฐาน Bidirectional Charging

นอกจากนี้ ธุรกิจ Smart Energy Solutions แบบครบวงจร เช่น ลูกแก้วฉนวนไฟฟ้ารุ่นใหม่ (Glass Insulators) ผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้ ไม่นำไฟ ลดการสูญเสียพลังงานบนสายส่ง ลดโอกาสเกิดไฟลัดวงจรบนเสาส่งไฟฟ้า อายุใช้งานยาวกว่า รุ่นเก่าไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อย รวมทั้งวัสดุและกาวทนไฟมาตรฐานสูง (Fire-resistant Components) โดยใช้ในหม้อแปลงและจุดเชื่อมต่อสายไฟ มีชั้นฉนวนกันความร้อนเฉพาะทาง ทนความร้อนได้ถึง1,300 องศาเซลเซียส และช่วยลดความเสี่ยงความร้อนสะสมด้วย

ปัจจุบัน Baiyun Power Group มีฐานการผลิตรวม 21 แห่งใน 20 เมืองทั่วประเทศจีน มีศูนย์R&Dตั้งอยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นกวางเจา ปักกิ่ง และซีอาน โดยบางศูนย์ฯรับงานวิจัยและพัฒนาจากภาครัฐ ทำให้ Baiyun Power Group เป็นที่ยอมรับว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัยของจีน โดยมีรายได้เฉลี่ยปีละ 3 หมื่นล้านหยวนหรือราว 1.5 แสนล้านบาท


Huaheng 1ใน5บริษัทผลิตไฟฟ้าหลักของจีน

นอกจากนี้ ยังได้มีโอกาสเยี่ยมชม Huaneng Shantou Power Plant (Huaheng Power International) เป็นบริษัทหลักในเครือของ China Huaneng Group Co., Ltd. (CHNG) ซึ่งเป็นหนึ่งใน ห้าผู้ผลิตไฟฟ้าที่เป็นกำลังหลักของจีนในการรักษาความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ด้วยกำลังผลิตไฟฟ้าจำนวนมาก และเป็นบริษัทที่ผลิตพลังงานสีเขียวหลากหลายรูปแบบทั้งพลังงานความร้อน พลังงานโซลาร์ พลังงานลม พลังน้ำ ชีวมวล และนิวเคลียร์ คิดเป็นสัดส่วนพลังงานสะอาดสูงถึง 49% ทำให้ก้าวเป็นบริษัทที่มีกำลังผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อันดับ 2 ของจีน และรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก


โดยไฮไลท์ คือโซลาร์ฟาร์มบนน้ำ หรือ Floating Solar Farm ที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเป็นการผสมผสานการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่กับการทำอาชีพประมงของคนในชุมชน โดยบริษัทติดตั้งแผงโซลาร์อยู่บนเหนือผิวน้ำขนาดมหาศาล เพื่อให้สามารถทำฟาร์มเลี้ยงปลาและกุ้งของคนในพื้นที่โดยไม่ต้องเปลี่ยนวิถีชุมชน แถมมีรายได้จากการให้เช่าพื้นที่ในการติดตั้งโซลาร์ฟาร์มด้วย

สำหรับรูปแบบ Floating Solar Farm นี้ช่วยลดอุณหภูมิน้ำ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้า ลดการระเหยของน้ำชาวบ้านเลี้ยงปลา–เลี้ยงกุ้งใต้แผงได้ รวมทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ด้วย โดยรูปแบบการผลิตไฟฟ้านี้มีการนำไปใช้ในหลายๆประเทศแล้ว เชื่อว่าไทยก็จะรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้ได้แทนที่จะทำโซลาร์ฟาร์มบนบกแต่เพียงอย่างเดียว

Huaneng ถือเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของจีน โดยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ทั้งบนบกและนอกชายฝั่ง รวมถึงเป็นผู้บุกเบิกโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง (Offshore Wind) หลายแห่ง เช่น โครงการ Rudong H3 ซึ่งเป็นโครงการสัญลักษณ์ระดับประเทศ

ในด้านเทคโนโลยี Huaneng มีความโดดเด่นในการพัฒนาและถือครองเทคโนโลยีสำคัญด้านพลังงาน เช่น Coal Ultra-Low Emission, Offshore Wind Engineering, Novel Energy Storage และ Green Hydrogen อีกทั้งยังเป็นผู้ดำเนินโครงการ CCUS ระดับชั้นนำของจีน และมีบทบาทในโครงการวิจัยเทคโนโลยีพลังงานระดับชาติหลายรายการ โดย Huaneng มีการลงทุนพัฒนาเครือข่ายสถานีชาร์จ รวมถึงเทคโนโลยี High-Power Fast Charging และโมเดลสถานี แบบผสมผสาน “Solar + Energy Storage + Charging” ซึ่งช่วยลดภาระของโครงข่ายไฟฟ้าหลัก ทำให้การชาร์จ EV ใช้ “พลังงานเขียว” ได้จริง รวมทั้งยังสามารถนำแบตเตอรี่ EV ที่หมดอายุการใช้งานกลับมาใช้ใหม่ในระบบกักเก็บพลังงานของโรงไฟฟ้า เพื่อช่วยปรับสมดุลพลังงานหมุนเวียนที่มีความผันผวน

กล่าวได้ว่าโครงสร้างธุรกิจของHuaneng ครอบคลุมครบวงจร ตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า การบริการพลังงาน การทำเหมืองถ่านหิน การขนส่งเชื้อเพลิง และธุรกิจด้านไฟแนนซ์ ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันและบริหารความเสี่ยงเชิงระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ


OR เพิ่มดีลเลอร์ขายน้ำมันหล่อลื่นในจีน

ทั้งนี้ OR เคยมาทำธุรกิจร้านคาเฟ่ อเมซอน (Café Amazon )ในจีนเพียงช่วงระยะหนึ่ง เนื่องจากตลาดจีนมีการแข่งขันที่รุนแรง เรียกได้ว่าปราบเซียน ซึ่ง Café Amazon ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ที่ค้องปิดร้านอย่างไม่มีกำหนดจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคตามนโยบายรัฐ ทำให้OR ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายโดยไม่มีรายได้เข้ามา ทำให้ OR ตัดสินใจยุติการลงทุนร้าน Café Amazon ในจีน เช่นเดียวกับเมื่อเร็วๆนี้ที่OR ร่วมทุนกับพันธมิตร ประกาศปิดกิจการ Café Amazon ในเวียดนามทั้ง 22แห่ง เนื่องจากสภาพการแข่งขันรุนแรง และไม่สามารถขยายสาขาได้เพิ่มขึ้น มีต้นทุนแฝงสูง ทำให้ประสบปัญหาการขาดทุนมาตลอด จนไม่คุ้มที่จะลงทุนอีกต่อไป

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR กล่าวว่า แม้ ORจะยุติการทำธุรกิจCafé Amazon ในจีนไป แต่เรายังธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants ในจีน โดยมีตัวแทนจำหน่ายเป็นผู้ดำเนินการ มียอดขายประมาณปีละ 100,000 ลิตรต่อปี นับเป็นธุรกิจเดียวที่ ORยังเหลืออยู่ในจีน 
ปัจจุบัน OR มีตัวแทนจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่นในจีน 2 ราย คือ Yunnan Wohaofuyao Trade Co., Ltd. ตั้งอยู่ที่เมือง Kunming มณฑล Yunnan และ Shandong Jinjiarun International Trade Co., Ltd. ตั้งอยู่ที่เมือง Linyi มณฑล Shandong ล่าสุดเตรียมเปิดเพิ่มอีก 1ราย คือGuizhou Chefu Trading Co., Ltd. เมือง Guiyang มณฑล Guizhou

ส่วนการแผนการขยายธุรกิจในต่างประเทศในปี2569 ว่า บริษัทมีนโยบายเน้นลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา เนื่องจากไทยมีความได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีทั้งถนน รถไฟ เรือ ไฟฟ้า และท่อน้ำมัน ที่สามารถต่อยอดธุรกิจได้ แต่ปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ โดยงบลงทุนในธุรกิจGlobal ในปีหน้าจะปรับลดลง เพราะบริษัทตัดสินใจชะลอการลงทุนในประเทศกัมพูชา ส่วนเวียดนามก็ไม่มีการใส่เงินลงทุนธุรกิจ Café Amazon ในหลังประกาศยุติการลงทุนอย่างถาวรในเวียดนาม


ลดงบลงทุนในกัมพูชา

หม่อมหลวงปีกทอง กล่าวว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาตัดสินใจปรับการลงทุนในกัมพูชา หลังจากปี2568 ยอดขายในกัมพูชาปรับลดลงถึง 50-60%จากปีก่อน สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะตามชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา จนเกิดกระแสต่อต้านสินค้าไทย ทำให้สถานีบริการน้ำมันPTT Station ในกัมพูชาที่เคยมีอยู่ราว200 แห่ง (เป็นปั๊มน้ำมันที่ORเป็นเจ้าของเพียง 10%) ส่วนใหญ่เป็นของดีลเลอร์ มีการเปลี่ยนย้ายค่ายไปถึง 40-50แห่ง ล่าสุด มีสถานีบริการPTT Stationในกัมพูชาเหลืออยู่เพียง 150 แห่ง เช่นเดียวกับร้าน Café Amazon ที่เหลืออยู่เพียง 150 สาขา อย่างไรก็ตาม OR ได้รับผลกระทบน้อยมาก เนื่องจากรายได้จากธุรกิจในกัมพูชาคิดเป็น 2-3%ของกำไรรวมOR

ทั้งนี้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาเลวร้ายไปกว่านี้ จนทำให้ยอดขายปรับลดลงมากจนไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ บริษัทฯก็คงต้องยุติการทำธุรกิจในกัมพูชา ซึ่งเป็นแนวทางซินาริโอ (Scenario) ที่แย่สุด โดยบริษัทวางไว้ คาดว่าแผนการดำเนินธุรกิจในกัมพูชาจะมีความชัดเจนภายในเดือนธันวาคมนี้ หรืออย่างช้าเดือนมกราคม 2569

ปัจจุบัน OR มี3ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจ Mobility รองลงมา คือ ธุรกิจไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Business) แม้จะมีสัดส่วนรายได้เพียง 4-5% ของรายได้รวม แต่มีสัดส่วนกำไรสูงถึง 30% ของกำไรรวม ดังนั้นบริษัทมีแผนจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจLifestyle เพิ่มขึ้นเป็น 10% ส่วนธุรกิจต่างประเทศ (Global ) ขณะนี้ก็ต้องพักก่อน เงินลงทุนต่างประเทศต้องลดลง และเตรียมปรับยุทธศาสตร์การลงทุนธุรกิจในต่างประเทศใหม่ ซึ่งธุรกิจต่างประเทศ เฉพาะกัมพูชา สัดส่วนกำไรลดลง แต่เวียดนามจะดีขึ้นเพราะไม่มีขาดทุนแล้ว

อย่างไรก็ดี ในปี 2569 บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ค้าปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอยู่ที่ 36% โดยวางแนวทางเพิ่มคนเข้ามาใช้บริการในสถานีบริการน้ำมันมากขึ้นเป็น 4.3 ล้านคนต่อวัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.9 ล้านคนต่อวัน และอยากเพิ่มเป็น 5 ล้านคนต่อวัน ภายในปี 2571 เพื่อให้ORมีส่วนแบ่งการตลาดเข้าสู่เป้าหมาย 40%

ส่วนมุมมองการติดตั้งSuper Changer สำหรับรถEVเพื่อใช้เวลาในการชาร์จไฟได้เร็วขึ้นเมื่อประเทศจีนนั้น มองว่าประเทศไทยโครงสร้างระบบไฟฟ้ายังไม่เหมาะสมกับการติดตั้งSuper Charger และจำนวนรถที่รองรับได้น้อย ดังนั้นกำลังไฟ 120-180 kW ใช้เวลาชาร์จประมาณ 30 นาที เป็นจุดที่สมดุลที่สุดสำหรับรถEVส่วนใหญ่ และระบบไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน

เชื่อว่า EV ไม่ได้มาแทนธุรกิจน้ำมันแต่เป็นการต่อยอด เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกพลังงานสะอาดและใช้เวลาอยู่ในสถานีบริการมากขึ้น ซึ่งOR จะปรับปรุงสถานีบริการให้ตอบรับกับระยะเวลาการชาร์จรถ EV เพื่อให้ลูกค้าใช้เวลาภายในสถานีบริการเพิ่มมากขึ้น ดังนี้

1.Time Spent Expansion เพิ่มเวลาใช้บริการในสถานีบริการจาก 5นาที เพิ่มเป็น 45นาทีผ่านการพัฒนาพื้นที่ทั้ง PTT Station และOR SPACE รวมถึงบริการเสริมต่างๆในสถานีบริการ

2. Energy Transition to EV Charging
เนื่องจากEV Charging เป็นฟังก์ชั่นหลักที่ดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการนานขึ้น การเชื่อมต่อสู่การขยาย Ecosystem ที่สมบูรณ์ภายในสถานี และ 3. Diverse F&B Ecosystem ขยายแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม ทั้งORและพันธมิตร ครอบคลุม Café Amazon, เขียง, Pacamara, QSR (Quick Service Restaurant) และแบรนด์ใหม่ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า

4. Lifestyle & Daily Services เพิ่มบริการด้านสุขภาพ และไลฟ์สไตล์ เช่น คลินิกโอบอ้อม,found&found,Otteri รองรับการใช้บริการในชีวิตประจำวัน 5. Traffic Enhancement to OR Ecosystem โดย OR SPACE ปรับโฉม Ecosystem ของ OR แบบใหม่ในอนาคต เพื่อรองรับ Energy Transition เพิ่มโอกาสสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ที่เชื่อมต่อกันภายในสถานี

ปัจจุบัน บริษัทมีสถานีชาร์จ EV Station PluZ กระจายทั่วประเทศ ในปี2568 OR มีเป้าหมายที่จะจุดชาร์จEVเพิ่มเป็น 2,635 จุดชาร์จ และเพิ่มเป็น 7,000จุดชาร์จในปี2573 เพื่อให้ผู้ใช้รถ EV ในไทยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จอีกต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น