ปิดฉากงานประชุมและนิทรรศการด้านพลังงานระดับโลก “IEEE PES GTD Asia 2025" ซึ่งจัดโดยสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) ร่วมกับภาครัฐและเอกชน เมื่อวันที่ 26–29 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร
การจัดงาน IEEE PES GTD Asia 2025 นับเป็นครั้งที่ 3 ของภูมิภาคเอเชีย และครั้งที่ 2 ของไทย ภายใต้หัวข้อ “Accelerating The Energy Transition toward Carbon Neutrality – A Sustainable Energy Future for All” “การเปลี่ยนแปลงพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนเพื่ออนาคตพลังงานที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน” มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน และบริษัทชั้นนำกว่า 400 แห่งจากทั่วโลก ร่วมเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงาน
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงาน IEEE PES GTD Asia 2025 ว่า ประเทศไทยได้ตัดสินใจเลื่อนเป้าหมาย Net Zero ค.ศ. 2065 ให้เร็วขึ้น 15 ปี เป็นปี ค.ศ. 2050 นับเป็นเรื่องที่ท้าทาย และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของเราต่อความรับผิดชอบด้านสภาพภูมิอากาศโลกและการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero 2050 จำเป็นที่ภาคพลังงานต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากการผลิตไฟฟ้า การขนส่งและภาคอุตสาหกรรมล้วนใช้พลังงานสูง ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงตามไปด้วย จำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกัน เพิ่มสัดส่วนการพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น การพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้า (Power Grid) และการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาปรับใช้ช่วยให้เราใช้พลังงานได้อย่างชาญฉลาดขึ้น รวมทั้งนำมาใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศให้ทันสมัย
เนื่องจากไม่มีใครสามารถทำสิ่งนี้ได้เพียงลำพัง ทำให้งาน IEEE PES GTD Asia 2025 ได้รับความสนใจ เพราะนอกจากรวบรวมผู้เชี่ยวชาญ บริษัท และพันธมิตรด้านการวิจัยระบบพลังงานแห่งอนาคต และนวัตกรรมจากทั่วโลกมาไว้ด้วยกันแล้ว มีการแบ่งปันองค์ความรู้และแนวทางในแก้ไขปัญหา เพื่อสร้างความมั่นคงพลังงานทั้งภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับพันธมิตรทุกราย เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ทำให้เกิดความมั่นคงทางพลังงาน สิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้น และเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ในงาน IEEE PES GTD Asia 2025 ครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ไทยได้แสดงบทบาทผู้นำด้านพลังงานของภูมิภาคอาเซียน เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและดึงดูดการลงทุนด้านพลังงานสะอาด สร้างความมั่นคงด้านพลังงานในระยะยาว พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชาติให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยผ่าน 3 แกนหลักสำคัญในการขับเคลื่อนพลังงานของภูมิภาค ได้แก่ 1.การผลิตไฟฟ้า เน้นเทคโนโลยีสะอาดและยืดหยุ่น 2.การส่งและจำหน่าย ที่มุ่งเน้นการปรับปรุงระบบให้เป็น Smart Grid และการจัดการการไหลของไฟฟ้าสองทิศทาง และ 3.การบูรณาการพลังงานหมุนเวียนและระบบกักเก็บพลังงาน
ดร.นรินทร์ เผ่าวณิช นายกสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) และผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. ได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงานในปีนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของประเทศที่ให้ความสำคัญกับการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานที่สะอาดและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานให้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (Draft PDP2024) กฟผ. มุ่งมั่นเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล สอดคล้องกับแนวโน้มของโลกที่ตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้ 70–90% ภายในปีค.ศ. 2050 ขณะที่ประเทศไทยตั้งเป้าเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของการผลิตไฟฟ้าภายในปี ค.ศ. 2037
กฟผ. ในฐานะองค์กรหลักด้านพลังงานของประเทศที่มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ได้สนองนโยบายโครงการ Quick Big Win ด้านพลังงานของรัฐบาล เดินหน้าผลักดันโครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) เปิดโอกาสให้ธุรกิจเข้าถึงพลังงานหมุนเวียนโดยตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้า ลดความเสี่ยงด้านราคาพลังงาน พร้อมเพิ่มทางเลือกในการรับบริการไฟฟ้าสะอาดด้วยการประกาศอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มา (Utility Green Tariff 1 : UGT1) สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ตอบสนองทุกมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สนับสนุนมาตรการโซลาร์เพื่อประชาชน (Community Solar) และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านโครงข่ายไฟฟ้า (Grid Modernization) รองรับการเข้ามาของพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีที่สามารถสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมใหม่ได้ เช่น EV, Data Center และ AI IOT Robotic
กฟผ. ยังได้ศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด ด้วยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ขนาดกำลังการผลิต 600 เมกะวัตต์ พร้อมนำร่อง
โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำบนพื้นที่ศักยภาพ 9 เขื่อนภายใต้การดูแลของ กฟผ. กำลังการผลิตรวม 2,725 เมกะวัตต์ โดยดำเนินการแล้วที่เขื่อนสิรินธร กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ และเขื่อนอุบลรัตน์ กำลังผลิต 24 เมกะวัตต์ และจะมีการขยายต่อไปเร็ว ๆ นี้ ในเขื่อนภูมิพล เขื่อนวชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ โครงการติดตั้งโซลาร์ฟาร์มและแบตเตอรี่ รวมทั้งการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) พร้อมทั้งพัฒนาระบบส่ง และปรับปรุงระบบโครงข่ายให้ทันสมัย เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการรองรับพลังงานหมุนเวียน
กฟผ. ได้ศึกษา 3 เทคโนโลยีในการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ได้แก่ เทคโนโลยีที่ใช้สารละลายเอมีนในการดูดซับ เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับวัสดุนาโนขั้นสูง Metal-Organic Frameworks (MOFs) และเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีไครโอเจนิค (Cryogenic Carbon Capture: CCC) พร้อมทั้งศึกษาการใช้ประโยชน์และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage: CCUS) ซึ่งจะตอบโจทย์แผน EGAT Carbon Neutrality ที่มีเป้าหมายเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050
ตลอดการจัดงานมีผู้เชี่ยวชาญร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงกลยุทธ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่กำลังเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม เช่น ไฮโดรเจนในระบบไฟฟ้า การพัฒนา Grid Modernization ขั้นสูง การนำเทคโนโลยี SMR มาใช้ในเอเชีย และบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI)
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้อัปเดตเทรนด์และนวัตกรรมพลังงานผ่านกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ Energy Tomorrow Exhibition: นิทรรศการจากภาคเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศที่รวมเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยจากทั่วโลก อาทิ ระบบ Smart Grid เทคโนโลยีสวิตช์เกียร์ปลอดก๊าซเรือนกระจก และระบบควบคุมอัตโนมัติอัจฉริยะ รวมทั้งรับฟังปาฐกถาพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญระดับสูงเกี่ยวกับนวัตกรรมและกลยุทธ์สำคัญที่จะกำหนดทิศทางพลังงานในอนาคต โดยมีสมาคมไฟฟ้าและพลังงานไอทริปเปิลอี (ประเทศไทย) เป็นเจ้าภาพ และการสนับสนุนจาก กฟผ. การไฟฟ้านครหลวง (MEA) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) กลุ่ม ปตท. และหน่วยงานอื่น ๆ อีกมากมาย
โดยบูทของ กฟผ. ได้รับความสนใจจากบริษัทต่าง ๆ และผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ภายในบูทมีการจัดแสดงนวัตกรรมต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 โซนภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมพลังงานสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน” ได้แก่ โซน 1: Smart Energy for Harmonious Living เทคโนโลยีพลังงานเพื่อความสมดุลของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อาทิ แผงโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) พันธบัตรส่งเสริมความยั่งยืน โซน 2: Reliable & Sustainable Power System ระบบไฟฟ้ามั่นคงและยั่งยืน อาทิ นวัตกรรม Grid Modernization เพิ่มเสถียรภาพให้ระบบไฟฟ้า รองรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน พร้อมแนวทางป้องกันความเสี่ยง เพื่อการก้าวสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และโซน 3: Decarbonized Pathways มิติใหม่สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน อาทิ Energy Solution & Carbon Credit, EV Solution, Robotic & AI และ Business & Network โดย กฟผ. มีครบทุกโซลูชั่น พร้อมนำสถานีชาร์จอีวี “Elex by EGAT” มาแสดงด้วย และมีการเสวนาให้ความรู้และเล่นเกม
ไฮไลท์ที่น่าสนใจ คือ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) เมื่อโลกกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความไม่แน่นอนด้านพลังงาน ทุกประเทศต่างมองหาพลังงานสะอาดที่ปลอดภัยและยั่งยืน ทำให้โรงไฟฟ้า SMR ถูกจับตามองว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาดในอนาคต
ทำไมต้องเป็นโรงไฟฟ้า SMR
ข้อดีของโรงไฟฟ้า SMR เป็นพลังงานสะอาดที่มีความเสถียร ผลิตไฟฟ้าได้ต่อเนื่อง24 ชั่วโมง ช่วยรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ต่างจากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนส่วนใหญ่ที่มีข้อจำกัดเรื่องความไม่เสถียรในการผลิตไฟฟ้า
อีกทั้ง มีความปลอดภัยสูง เพราะได้รับการออกแบบตามแนวคิด “Passive Safety System" หมายความว่า การทำงานใช้หลักการธรรมชาติ เช่น แรงโน้มถ่วงและการถ่ายเทความร้อน เพื่อให้ระบบหยุดทำงานและระบายความร้อนได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าหรือการควบคุมจากมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบที่ซับซ้อนน้อยลง และมีรัศมีการกำหนดพื้นที่ควบคุมการปล่อยสารกัมมันตรังสีลดลงด้วย โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่อาจมีระยะรัศมีถึง 16 กิโลเมตร ขณะที่โรงไฟฟ้า SMR มีระยะรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร
เนื่องจากโรงไฟฟ้า SMR มีการใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมในปริมาณเล็กน้อย แต่สามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องนานถึงสองปีในการเติมเชื้อเพลิงครั้งเดียว ลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติที่มีราคาผันผวน โดยโรงไฟฟ้า SMR มีขนาดที่เล็ก 300เมกะวัตต์ เมื่อเทียบโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบเดิมที่มีกำลังผลิต 1,000-1,600เมกะวัตต์ ทำให้การลงทุนเริ่มต้นลดลง สามารถติดตั้งได้ในพื้นที่จำกัดและเพิ่มหน่วยเพิ่มเติมได้ตามต้องการ (การออกแบบโมดูล) ซึ่งเหมาะสมกับการพัฒนาระบบพลังงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนการก่อสร้างก็ใช้ระยะเวลาสั้นลงเพียง 3-5 ปี จากเดิม 5-6 ปี และที่สำคัญไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระหว่างการผลิตไฟฟ้า
ดังนั้น ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี 2567-2580 ( Draft PDP 2024 ) ได้บรรจุโรงไฟฟ้า SMR ไว้ในแผน โดยให้ กฟผ. เป็นผู้พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า SMR ขนาดกำลังผลิต 300 เมกะวัตต์จำนวน 2 โรง ปัจจุบัน กฟผ. กำลังเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนเรื่องโรงไฟฟ้า SMR และเตรียมพร้อมเดินหน้าพัฒนา SMR เพื่อก้าวสู่ยุคพลังงานแห่งอนาคต
งาน IEEE PES GTD Asia 2025 ไม่ได้เป็นเพียงเวทีระดับโลกที่รวบรวมเทคโนโลยีล้ำยุคและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญที่ประกาศให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการก้าวสู่อนาคตพลังงานสะอาดอย่างมั่นใจ ภายใต้การขับเคลื่อนของ กฟผ. และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของระบบพลังงาน ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงไฟฟ้า แต่ยังสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างแท้จริง


