xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการ-สภาวิชาชีพบัญชีแนะนำบมจ. ยกระดับธรรมาภิบาลเข้มแข็ง ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นักวิชาการและสภาวิชาชีพบัญชี ประสานเสียงเรียกร้องบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเร่งยกระดับธรรมาภิบาลให้เข้มแข็งในองค์กร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน หลังเกิดกรณีทุจริต

ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย ผู้นำภาคธุรกิจและหน่วยงานกำกับดูแลของไทยกำลังถูกเรียกร้องให้ยกระดับ“ธรรมาภิบาลองค์กร”เพื่อเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่ช่วยยับยั้งการกระทำผิดทางการเงินผู้นำอุตสาหกรรม ซึ่งธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น

รองศาสตราจารย์ ดร. สมชาย สุภัทรกุล คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวินิจ ศิลามงคล นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมเรียกร้องให้ธุรกิจไทยเสริมสร้างมาตรการกำกับดูแลให้เข้มแข็งกว่าเดิม ซึ่งการเพิ่มบทบาทการกำกับดูแลที่เข้มแข็งของคณะกรรมการบริษัทและการจัดให้มีระบบตรวจสอบภายในที่รัดกุมยิ่งกว่ากระบวนการตรวจสอบบัญชีปกติจะช่วยยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบในองค์กร

ดร. สมชาย กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เมื่อไม่นานมานี้ ได้สร้างคำถามว่าเราจะป้องกันการทุจริตที่จงใจปกปิดได้อย่างไร หากประเทศไทยต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอย่างแท้จริง ต้องเริ่มต้นจากการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับธรรมาภิบาลของคณะกรรมการบริษัทซึ่งเป็นหนึ่งในแนวป้องกันสามด่านเพื่อต่อสู้กับการกระทำผิดทางการเงิน

แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับ โมเดลแนวป้องกันสามด่าน (Three Lines of Defense Model) ของสถาบันผู้ตรวจสอบภายในสากล (IIA) โดยแนวป้องกันด่านแรก คือ ฝ่ายบริหารซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานของธุรกิจ แนวป้องกันด่านที่สอง คือ คณะกรรมการบริษัทซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลฝ่ายบริหาร และ แนวป้องกันด่านที่สาม คือผู้สอบบัญชีอิสระซึ่งทำหน้าที่ให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น ตามโมเดลนี้ บทบาทหลักของผู้สอบบัญชีคือการ “ให้ความเชื่อมั่นอย่างอิสระ” ไม่ใช่ “การตรวจจับการทุจริต”

แม้สื่อและผู้ถือหุ้นมักชี้นิ้วไปที่ผู้สอบบัญชีทันทีเมื่อเกิดกรณีทุจริต แต่การทุจริตที่สมรู้ร่วมคิดกันปกปิดโดยผู้บริหารระดับสูงอย่างเป็นระบบนั้นตรวจพบได้ยากมากโดยเฉพาะเมื่อมาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศมุ่งเน้นการตรวจหาการข้อผิดพลาดที่มีสาระสำคัญ ไม่ใช่ตรวจหาการหลอกลวงโดยเจตนา ขณะที่การตรวจสอบนิติวิทยา (forensic audit) แม้สามารถตรวจพบการทุจริตได้ แต่มีต้นทุนสูง ใช้เวลามาก และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในธุรกิจ

“ความท้าทายของผู้สอบบัญชี คือ ผู้สอบบัญชีต้องพึ่งพาข้อมูลที่ได้รับจากฝ่ายบริหารเป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม แต่เมื่อการทุจริตเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดของผู้บริหารระดับสูง กระบวนการตรวจสอบตามปกติจึงมักไม่อาจตรวจพบได้ จึงอาจเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติและไม่สอดคล้องกับหลักการแนวป้องกันสามด่าน ที่จะคาดหมายให้ผู้สอบบัญชีตรวจพบการทุจริตทุกกรณี ซึ่งงานวิจัยระดับนานาชาติหลายฉบับ ยังชี้ให้เห็นว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินมักมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีทุจริตรายใหญ่”


ด้านนายวินิจ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทของไทยควรมีบทบาทที่เข้มแข็งมากขึ้นในการกำหนด “แนวปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างโดยผู้นำองค์กร” (tone from the top) ดูแลให้แน่ใจว่าระบบธรรมาภิบาลองค์กรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการกำกับดูแลด้านความเสี่ยง จริยธรรม และการควบคุมภายในอย่างรอบด้าน เพื่อให้แน่ใจว่า การทุจริตจะถูกหยุดยั้งก่อนที่จะเริ่มเกิดขึ้น

โดยข้อเสนอแนะที่สำคัญ คือ การส่งเสริมความเป็นอิสระและความรู้ทางการเงินของคณะกรรมการบริษัท การจัดให้มีช่องทางร้องเรียน (whistleblower) และการประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตอย่างสม่ำเสมอ

“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแนวทางปฏิบัติที่ดีเท่านั้นแต่เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และปกป้องชื่อเสียงของธุรกิจไทย บริษัทจดทะเบียนควรมองว่าธรรมาภิบาลไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้แก่กิจการอย่างยั่งยืน ดึงดูดการลงทุน และเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค”

นายวินิจ กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพ เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เราก็ไม่อาจละเลยการพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรในวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้เกี่ยวกับการทุจริตและการส่งเสริมให้มีความช่างสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ (professional scepticism) มากยิ่งขึ้น เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง แต่การป้องกันการทุจริตจำเป็นต้องเริ่มจากมีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงการสื่อสารอย่างชัดเจนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เกี่ยวกับขอบเขตและข้อจำกัดของการสอบบัญชีตามมาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศ เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องตกเป็นแพะรับบาปจากการขาดธรรมาภิบาลภายในองค์กร แม้ประเทศไทยจะมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใสที่เหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค แต่เชื่อว่าไทยสามารถยกระดับให้ดีขึ้นได้อีก


กำลังโหลดความคิดเห็น