สมาคมการค้าเหล็กทรงยาวฯ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ภาครัฐยกระดับมาตรฐานการผลิตเหล็กเส้นและเหล็กลวดให้ทัดเทียมมาตรฐานนานาประเทศ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รับมือความเสี่ยงเหตุแผ่นดินไหว ชี้เหล็กเส้นเป็นสินค้าทางด้านวิศวกรรม ยากต่อการเข้าใจทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อโดยใช้ราคาเป็นหลัก
สมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐาน ในฐานะกลุ่มผู้ผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตด้วยเตาอาร์คไฟฟ้าภายในประเทศออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประเทศไทยยกระดับมาตรฐานการผลิตเหล็กเส้นและเหล็กลวดให้ทัดเทียมมาตรฐานนานาประเทศ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนและโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แทนการที่จะผลักภาระการเลือกใช้สินค้าไปที่ผู้บริโภค เนื่องจากเหล็กเส้นเป็นสินค้าทางด้านวิศวกรรม ซึ่งเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไปจะเข้าใจ และสุดท้ายใช้การตัดสินใจด้วยราคาเป็นหลัก
ทั้งนี้ นานาประเทศมีการพัฒนามาตรฐานคุณภาพของเหล็กเส้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี 2561 จีนกำหนดว่ากรรมวิธีการหลอม (Smelting Method) สำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตต้องมาจากเตา converter หรือ Electric Arc Furnace (EAF) ปี 2567 จีนยกระดับมาตรฐานเหล็กเส้นเป็นมาตรฐานบังคับ โดยการกำหนดกรรมวิธีการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ต้องมาจากเตา Converter หรือ Electric Arc Furnace เท่านั้น นอกจากนี้ ในมาตรฐานฉบับใหม่ เหล็กเส้นต้านทานแผ่นดินไหวจะต้องผ่านกระบวนการปรับแต่งเพิ่มเติมจากภายนอกด้วยเตาปรุงน้ำเหล็ก Ladle Furnace
แม้ว่ามาตรฐานเหล็กในประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมเหล็กของโลก เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะไม่ได้จำกัดประเภทของกระบวนการหลอมเหล็ก แต่เหล็กเส้นในประเทศเหล่านี้ก็จะผลิตจากกระบวนการ BOF และ EAF ทั้งสิ้น และมีการกำหนดค่ากำลังคราก (yield strength) ขั้นต่ำและค่าสูงสุดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้ความมั่นใจว่าเหล็กมีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในพื้นที่เสี่ยงสูงหรือพื้นที่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง
ในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมาประเทศต่างๆ เผชิญปัญหาแผ่นดินไหวเพิ่มมากขึ้น มีความรุนแรงมากขึ้น หากประเทศไทยไม่มีการปรับตัวเพื่อรับเหตุแผ่นดินไหวก็อาจจะมีการสูญเสียมากขึ้นเหมือนอย่างเช่นประเทศเมียนมาในปี 2568 ความแรง 7.7 ริกเตอร์ เสียชีวิต 5,456 ราย บาดเจ็บ 11,404 ราย อาคารเสียหายมากกว่า 8,300 หลัง แต่ถ้าเรามีการปรับตัวเพื่อรับเหตุอย่างอินโดนีเซีย ที่แผ่นดินไหวเกิดบ่อย ความสูญเสียก็จะลดลง เช่นในปี 2568 ความแรง 5.7 ริกเตอร์ เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 2 ราย อาคารเสียหายมากกว่า 300 หลัง
ดังนั้น ไทยควรมีการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์ด้านการก่อสร้าง ด้านการออกแบบเพื่อการรองรับภัยพิบัติ ทั้งนี้ขณะนี้ มอก.เหล็กเส้นของไทยอยู่ในระหว่างการปรับปรุงโดย สมอ. ซึ่งควรจะมีการยกระดับคุณภาพของเหล็กเส้นอย่างเข้มงวด และคำนึงถึงความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติอย่างเทียบเท่ามาตรฐานผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นของหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
การผลิตเหล็กเส้นควรมีการขจัดสิ่งสกปรกจากน้ำเหล็ก 2 รอบ ในรอบแรกนำเศษเหล็กมาหลอม และขั้นต่อไปคือต้องมีเตาปรุงแต่งน้ำเหล็ก LF-Ladle Furnace เพื่อปรุ่งแต่งให้ตรงส่วนผสมเป็นไปตามที่ต้องการ และกำจัดสิ่งปนเปื้อนอีกครั้ง เพื่อจะได้เหล็กที่มีความสะอาด เนื้อเหล็กมีความสม่ำเสมอ
อุตสาหกรรมเหล็กคือรากฐานของโครงสร้างพื้นฐานประเทศ เหล็กทุกเส้นที่ใช้ในอาคารหรือสะพานต้องมั่นใจได้ว่ามีความปลอดภัย สมาคมฯ จึงขอเรียกร้องให้รัฐควบคุมการผลิตเหล็กเส้นให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างเข้มงวด เน้นการปฎิบัติตามกฎหมายในทุกด้านให้มีความโปร่งใส โดยสมาคมการค้าเหล็กทรงยาวมาตรฐานพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในทุกๆ ด้านเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กไทย และเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ปริมาณการนำเข้าเหล็กลวดได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบในทางลบต่อผู้ผลิตภายในประเทศ การนำเข้าในปริมาณสูงนี้ทำให้บางโรงงานต้องปิดกิจการลง และบางรายต้องลดกำลังการผลิต การเพิ่มขึ้นของปริมาณนำเข้าดังกล่าวเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การทุ่มตลาด (dumping) จากประเทศจีน การสำแดงประเภทสินค้าที่ไม่ถูกต้อง และการนำเหล็กลวดไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งผลที่ตามมาคือ ผู้ผลิตภายในประเทศส่วนใหญ่ต้องปิดกิจการลง ทำให้ลูกค้าขาดทางเลือกในการซื้อสินค้าในประเทศ หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป อาจไม่มีผู้ผลิตเหล็กลวดเหลืออยู่ในประเทศอีกต่อไป ห่วงโซ่อุปทานของเหล็กในประเทศจะสั้นลง ซึ่งอาจก่อให้เกิดสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้จากการนำเข้าเหล็กลวดที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งในที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสาธารณะ
จึงขอให้ภาครัฐช่วยพิจารณาการตรวจสอบสินค้านำเข้า พิจารณาแก้ไขปรับปรุง และบังคับใช้ มอก.เหล็กลวดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
สำหรับข้อเสนอของสมาคมฯ ต่อภาครัฐ
1. ควบคุมการผลิตให้เป็นไปตามกฎหมาย และส่งเสริมการใช้เตาปรุงน้ำเหล็ก (Ladle Furnace)
2. ปรับปรุงมาตรฐานเหล็กเส้นและเหล็กลวดให้เทียบเท่านานาชาติ เพื่อรองรับภัยพิบัติ
3. ตรวจสอบและควบคุมสินค้านำเข้าให้ได้คุณภาพตาม มอก. โดยสมาคมฯ ต้องการให้รัฐ “ยกระดับมาตรฐานเหล็กไทย” ทั้งระบบ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการนำเข้า เพื่อความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานประเทศและผู้บริโภค รวมทั้งป้องกันผลกระทบต่อผู้ประกอบการภายในประเทศจากการนำเข้าที่ไม่ได้มาตรฐาน


