xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.สผ.เผยกำไร 9 เดือนอยู่ที่ 4.27 หมื่นล้าน ลดลง 29.34%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปตท.สผ.แจง 9 เดือนปี 68 มีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท ลดลง 29.34% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60,525 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายปิโตรเลียมลดลง แต่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น พร้อมขยายการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างการเติบโตของบริษัทและความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ พร้อมกับเดินหน้าโครงการ CCS แห่งแรกในประเทศไทยที่แหล่งอาทิตย์

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยผลประกอบการในรอบระยะเวลา 9 เดือนของปี 2568 ว่า ปตท.สผ. มีรายได้รวม 220,503 ล้านบาท หรือเทียบเท่า 6,659 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 499,925 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโครงการในประเทศไทย เช่น โครงการ G1/61 ที่เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติในเดือนมีนาคม 2567 และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ที่บริษัทเข้าร่วมลงทุนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 ในขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก มาอยู่ที่ 44.27 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 42,761 ล้านบาท ลดลง 29.34%จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 60,525 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่นๆ จำนวนกว่า 43,700 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย


นายมนตรีกล่าวว่า ในไตรมาส 3 นี้บริษัทได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยได้เข้าถือสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 50 ในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยเป็นแหล่งพลังงานหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในบริเวณภาคใต้ของไทย ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีอัตราการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่งเข้าประเทศไทยในอัตรา 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 6 ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย การลงทุนครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้ ปริมาณการขาย และปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันที

ในทวีปแอฟริกา ปตท.สผ.ได้เสร็จสิ้นการซื้อสัดส่วนการลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท แล้ว ส่งผลให้ ปตท.สผ.มีสัดส่วนการลงทุนทางอ้อมในโครงการดังกล่าวร้อยละ 22.1 ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวมีกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติประมาณ 435 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในอนาคตได้ การเข้าร่วมทุนครั้งนี้ สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติและปริมาณสำรองปิโตรเลียมให้กับบริษัทได้ทันทีเช่นกัน

สำหรับในประเทศไทย ปตท.สผ.ได้ประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย เดินหน้าโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยโครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ จะสามารถดักจับและอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุด 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มการอัดกลับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ในปี 2571 โดยการดำเนินงานดังกล่าว จะไม่กระทบต่อการผลิตก๊าซธรรมชาติของแหล่งอาทิตย์ โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ ยังเป็นการนำร่องและเป็นต้นแบบที่สำคัญในการพัฒนาโครงการ CCS ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทยในอนาคต รวมถึงธุรกิจ CCS ในบริเวณอ่าวไทยตอนบน (Eastern Thailand CCS Hub) อีกด้วย

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการศึกษาวิจัย พัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี CCS ในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย ปตท.สผ.ได้ร่วมมือกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ มอบทุนสนับสนุนโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้าน CCS ในประเทศไทย ให้กับ 9 โครงการ จากสถาบันวิจัยและสถาบันการศึกษาชั้นนำ 7 แห่ง ครอบคลุมด้านต่างๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ของกิจกรรม CCS อย่างครบวงจร นับได้ว่าเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ในการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน CCS ให้กับประเทศ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ

“แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ ปตท.สผ.จะเร่งการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายหลายโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่สอง โครงการอาบูดาบี ออฟชอร์ 2 ในแหล่ง Waset รวมถึงโครงการสำรวจที่มีการค้นพบปิโตรเลียมแล้วในประเทศมาเลเซีย ซึ่งโครงการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับบริษัทในระยะยาว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป” นายมนตรีกล่าว



กำลังโหลดความคิดเห็น