“พิพัฒน์” เพิ่มโจทย์ใหม่ ”ไฮสปีด 3 สนามบิน” เสนอ ซี.พี.ก่อสร้างส่วนต่อขยาย เฟส 2 “อู่ตะเภา-ระยอง-ตราด” เชื่อมแหล่งท่องเที่ยว ช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร เตรียมนัดเจรจาทางการ เผยแยกสัญญาใหม่ไม่เกี่ยวสัมปทานเดิม ยันไม่เอื้อเอกชน เร่งจบใน 4 เดือน
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่าลงทุน 224,544.36 ล้านบาท ว่า ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน โดยเฉพาะประเด็นการปรับวิธีจ่ายเงินให้เอกชนจากเงื่อนไขที่เอกชนต้องก่อสร้างให้เสร็จและเปิดเดินรถก่อนรัฐจึงจะจ่ายเงินค่าร่วมลงทุนเป็นการจ่ายตามงวดงาน หรือสร้างไปจ่ายไป ส่วนจะแก้ไขหรือไม่ ต้องหารือกับอัยการสูงสุดก่อน กระทรวงคมนาคมจะต้องดำเนินการตามความเห็นของอัยการสูงสุดอย่างเคร่งครัด ส่วนที่บอร์ดอีอีซีมีความเห็นชอบหลักการแก้ไขสัญญา 6 ข้อนั้น ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ ซึ่งขอยืนยันตามนโยบายและสัญญาเดิม เพราะไม่เช่นนั้นทางผู้ประมูลที่ได้อันดับ 2 อาจจะมาฟ้องร้องรัฐได้
ขณะนี้ตนมีนโยบายเพิ่มเติมเป็นแนวคิดว่า จะเจรจากับ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (เอกชนผู้รับสัมปทาน) ให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 2 ส่วนต่อขยาย “อู่ตะเภา ไปจนถึง จ.ตราด” เพื่อเชื่อมต่อกับเมืองท่องเที่ยว เนื่องจากการขยายเส้นทางออกไปจะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้มีผู้โดยสารเข้ามาใช้รถไฟความเร็วสูงเพิ่ม
นายพิพัฒน์กล่าวว่า แนวคิดนี้ได้หารือเบื้องต้นกับทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรืออีอีซี) ในระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งภายในปลายเดือน ต.ค.หรือต้นเดือน พ.ย.นี้จะมีการประชุมอย่างเป็นทางการ กับอีอีซี การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ บริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด (เอกชนผู้รับสัมปทาน) เพื่อนำเสนอแนวคิดนี้อย่างเป็นทางการ และฟังความคิดเห็นว่าหากเอกชนเห็นด้วยกับการดำเนินการก่อสร้างโครงการระยะที่ 2 ไปยัง จ.ตราด ระยะทางเท่าไร จะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมอย่างไร และจะมีผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้นอีกกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับที่เส้นทางสิ้นสุดที่อู่ตะเภา
“ตอนนี้ทางเอกชนอาจจะคิดว่าไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน สิ้นสุดที่อู่ตะเภา ผู้โดยสารอาจจะไม่มากจึงไม่คุ้มค่า แต่หากขยายเส้นทางออกไปถึง จ.ตราด ถึงชายแดนไทย ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัด ที่จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารให้ได้ อาจจะทำให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนมากขึ้น โดยข้อเสนอขยายเส้นทางไปถึง จ.ตราด ถือเป็นออปชันเสริมที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เอกชนรับได้หรือไม่ ก็มาหารือกันว่าจะมีการลงทุนเพิ่มเท่าไรจากการขยายระยะทางออกไปถึง จ.ตราด ในขณะเดียวกัน เอกชนจะให้ผลตอบแทนหรือผลประโยชน์แก่ภาครัฐอย่างไร และทางภาครัฐจะเสนออะไรให้เอกชน ก็ต้องมาเจรจากัน และการรถไฟฯ ต้องศึกษา”
นายพิพัฒน์กล่าวว่า หากสามารถตกลงกันได้สำหรับส่วนต่อขยาย จะเป็นการทำสัญญาอีกฉบับไม่ใช่การเพิ่มเติมหรือแก้สัญญาเดิม และถือเป็นสัญญาใหม่ เงื่อนไขใหม่ที่ไม่เกี่ยวกับการประมูลเดิม เพียงแต่เจรจาหารือกับ ซี.พี.ก่อน เพื่อให้โครงการรถไฟความเร็วสูงมีความคุ้มค่ามากขึ้น และทำให้การเดินทางด้วยรถไฟ ครบถ้วนมากขึ้น ดีกว่าการก่อสร้างแค่อู่ตะเภา
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มออปชันต่อขยายเส้นทางจากอู่ตะเภาออกไปถึง จ.ตราด ไม่ใช่การเอื้อเอกชน แต่เป็นการเพิ่มแรงจูงใจเพื่อให้มีผู้โดยสารเพิ่ม เพราะผู้โดยสารยังสามารถใช้ไฮสปีดเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวภาคตะวันออก และยังจะช่วยเพิ่มผู้โดยสารให้สนามบินอู่ตะเภาอีกด้วย ซึ่งจะทำให้การลงทุนคุ้มค่ามากขึ้น ยืนยันว่าจะหาข้อสรุปเรื่องรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินให้ได้ความชัดเจนภายในอายุรัฐบาล 4 เดือนนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ระยะที่ 2 ส่วนต่อขยายจังหวัดระยอง-จันทบุรี-ตราด ระยะทาง 190 กม. การรถไฟฯ ได้มีการศึกษา วิเคราะห์และศึกษาความเหมาะสมด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ สังคม การเงิน และแนวทางการลงทุนที่เหมาะสม และออกแบบเบื้องต้น โดยมี 4 สถานี ระยอง-แกลง-จันทบุรี-ตราด วงเงินประมาณ 101,728 ล้านบาท ค่าเวนคืน 12,999 ล้านาท งานโยธา 69,148 ล้านบาท ค่าระบบ E&M 12,088 ล้านบาท Rolloing Stock 4,664 ล้านบาท) ผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) 5.39% มีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) -44,956 ล้านบาท
ซึ่งผลการศึกษาระบุว่าโครงการตลอดสาย ระยอง-จันทบุรี-ตราด ยังไม่มีความคุ้มทุน ดังนั้น รฟท.จึงจะแบ่งเป็นเฟสก่อสร้าง จากสถานีอู่ตะเภา-ระยอง จำนวน 1 สถานีก่อน โดยค่าลงทุนอยู่ที่ 20,510 ล้านบาท โดย รฟท.ได้เสนอของบประมาณในการออกแบบรายละเอียดโครงการ ซึ่งสำนักงบประมาณยังไม่อนุมัติงบ โดยขอให้โครงการไฮสปีด 3 สนามบินเริ่มก่อสร้างก่อน