xs
xsm
sm
md
lg

ส.อ.ท.หารือ ธปท.พรุ่งนี้ เร่งแก้ปัญหาบาทแข็ง-เพิ่มสภาพคล่อง SMEs

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ส.อ.ท.-แบงก์ชาตินัดหารือวันพรุ่งนี้ (21 ต.ค.) เพื่อลดอุปสรรคและส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย ส.อ.ท.วอนแบงก์ชาติออกมาตรการเพิ่มสภาพคล่อง SMEs-เร่งแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ชี้เศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วงเปรียบเหมือน “รถติดหล่ม” ต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้า เผย IMF คาด GDP ไทยปี 69 โตต่ำมากแค่ 1.6%

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (21 ตุลาคม 2568) นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะผู้บริหารจะเดินทางมายังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อประชุมหารือร่วมกัน หวังส่งเสริมอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน รวมถึงการหาทางออกเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้

โดยจะมีการหารือประเด็นมาตรการส่งเสริมสภาพคล่องทางการเงินและแก้ปัญหาหนี้ผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ SMEs เป็นปัญหาเรื้อรังที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องการให้ ธปท.ออกมาตรการช่วยเหลือด้านสภาพคล่องเพิ่มเติม เพื่อให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น อาทิ ธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อโดยเฉพาะธนาคารเอกชน

ส.อ.ท.ยังแสดงความกังวลต่อค่าเงินบาทที่แข็งค่า หลังพบว่าค่าเงินบาทมีความผันผวนมากกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาครวมถึงจีน ซึ่งการแข็งค่าเงินบาทในขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวไทย ฉุดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย จึงอยากให้ ธปท.เข้ามาดูแลเสถียรภาพค่าเงินอย่างใกล้ชิดและหาสาเหตุทำไมค่าเงินบาทจึงผันผวนมากกว่าค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงเหมือนกับประเทศอื่นๆ

นอกจากนี้ ยังหารือเรื่องมาตรการรับมือผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า เนื่องจากผู้ประกอบการไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากนโยบายการค้าที่รุนแรงขึ้น จำเป็นที่ภาครัฐต้องเร่งทำ FTA เพื่อเปิดตลาดใหม่

ส.อ.ท.ยังเสนอนโยบายการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมภายใต้กลยุทธ์ "4GO" อันประกอบด้วย GO Digital & AI, GO Innovation, GO Global, และ GO Green ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานสากล

นายเกรียงไกรกล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2568 ว่า ในไตรมาส 4 นี้คาดว่า GDP ไทยอาจโตแค่ 0.3% ส่งผลให้ทั้งปี 2568 GDP โตได้เพียง 2% เท่านั้น แต่หากไตรมาส 4 นี้รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่งพลัส (เพิ่ม GDP ได้ 0.4%) การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และมีมาตรการช่วยหนี้เสีย (NPL) SMEs ได้อาจทำให้ช่วยดัน GDP ไตรมาส 4/2568 โตขึ้นแตะ 1%

ขณะเดียวกัน IMF ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2569 จะโตเพียง 1.6% ลดลงจากปีนี้ที่ GDP โต 2-2.2% เนื่องจากไทยยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเช่นเดียวกับปีนี้ ทั้งปัจจัยลบจากการส่งออกที่มีแนวโน้มชะลอตัว ภาคการผลิตชะลอตัว กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อภาคการเกษตร ผลผลิต เช่นน้ำท่วม ภัยแล้ง

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยบวกเข้ามาช่วย เช่น การย้ายฐานการลงทุนจากต่างประเทศยังมีการขยายตัว แต่ประเทศไทยเองจะต้องเร่งจัดหาพื้นที่รองรับ รวมถึงโครงสร้างสาธารณูปโภค เช่น น้ำ ไฟฟ้า บุคคลากร เพราะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการย้ายฐานมาไทยมากขึ้นมีทั้งคลาวด์ PCB ดาต้าเซ็นต์เตอร์ EV อาหาร BCG และยังคงมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งใหม่ในปี 2568 ที่จะสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น

ยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีความน่าเป็นห่วงเปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาโครงสร้างต่างๆ เนื่องจาก 1. ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย 2. การคอร์รัปชันของระบบราชการรวมถึงกฎหมายที่ล้าหลัง 3. กับดักรายได้ปานกลาง 4. งบประมาณที่ไม่สมดุลในการเบิกจ่าย 5. ระบบการศึกษา นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่มาจากความเสี่ยงอื่นๆ คือ ภาษีทรัมป์ สินค้าทุ่มตลาด สงครามทางภูมิรัฐศาสตร์ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ปัญหาหนี้ครัวเรือน ฯลฯ

ส่วนกรณีประเด็นเรื่องร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ที่ถูกเสนอโดยพรรคประชาชน ในการปรับแก้เรื่องของเวลาการทำงาน การเพิ่มวันหยุด ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องการให้ภาครัฐทบทวนให้ดี เพราะจะมีผลเสียมากกว่า

“เราอยากให้ทุกพรรคที่จะลงเลือกตั้งนำเรื่องที่ ส.อ.ท.เสนอไปศึกษาเพื่อวางนโยบายเศรษฐกิจให้ออกมาตรงโจทย์มากขึ้น อย่าออกนโยบายที่ประชานิยมมากจนเกินไป เพราะเป็นการช่วยฝ่ายหนึ่ง แล้วโยนภาระให้อีกฝ่ายหนึ่ง มันไม่ใช่การแก้ปัญหา เพราะจากนี้การแข่งขันโลกจะรุนแรงขึ้น” นายเกรียงไกรกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น