xs
xsm
sm
md
lg

Gen X-Z หัวขบวน ศก. สินค้าขุดบ่อทอง ตลาด 7.5 ล้านล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด -เจาะลึก Gen Z และ Gen Horizon สองขุมพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผู้กำหนดทิศทางการบริโภคในอนาคต เปิดข้อมูล พฤติกรรม สถิติ ที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ชนิดที่นักการตลาดต้องโฟกัสอย่างสมดุล 


ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การแบ่งกลุ่มเป้าหมายตามเจเนอเรชันยังคงเป็นกรอบสำคัญของการตลาด โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z ก็กำลังกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีพลังการจับจ่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีอิทธิพลสูงต่อเทรนด์การบริโภคยุคใหม่
ทั้งสองเจเนอเรชัน คือ Gen Z และ Gen X หรือ Gen Horizon (Pre-Silver Generation) จึงไม่ใช่แค่ตัวแทนของสองช่วงวัย แต่คือ “สองขุมพลังการจับจ่ายหลัก” ที่ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนิยามวัฒนธรรมการบริโภคไทยยุคใหม่ ซึ่งนักการตลาดที่ต้องการการเติบโตอย่างยั่งยืนไม่อาจมองข้าม

นางสาววรินทร์ ทินประภา Chief Growth Officer บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จํากัด หรือ MI GROUP เปิดเผยว่า Gen Z ช่วงอายุ 13-28 ปี และ Gen Horizon (Gen X) ช่วงอายุ 45-59 ปี เป็นสองเจเนอเรชันที่มีทั้งจำนวนประชากรขนาดใหญ่และอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูง โดยเฉพาะในเรื่องของ 'พลังการจับจ่าย' รวมกันถึง 7.6 ล้านล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น Gen Z กว่า 2.6 ล้านล้านบาทต่อปี และ Gen Horizon 5 ล้านล้านบาทต่อปี สะท้อนถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของคนไทย

ทาง MI LEARN LAB จึงได้ศึกษาเชิงลึกในสองช่วงวัยนี้ เพื่อทำความเข้าใจ พฤติกรรม ความต้องการ แรงขับเคลื่อน และคุณค่าของพวกเขา ถอดออกมาเป็นแนวทางเชิงกลยุทธ์สำหรับนักการตลาดและแบรนด์


ทั้งนี้ปัจจุบันโครงสร้างประชากรไทยกว่า 69.4 ล้านคน แบ่งออกเป็น 1. SILENT GEN and Older หรือผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไป มี 3% หรือกว่า 2 ล้านคน 2. BABY BOOMER อายุ 61-79 ปี มี 11% คิดเป็น 11 ล้านคน 3. GEN X อายุ 45-60 ปี มี 25% คิดเป็น 16 ล้านคน 4. GEN Y อายุ 29-44 ปี มี 23% หรือกว่า 15 ล้านคน 5. GEN Z อายุ 13-28 ปี มี 10% คิดเป็น 13 ล้านคน 6. GEN ALPHA อายุ 1-12 ปี มี 12% หรือกว่า 8 ล้านคน

จะเห็นได้ว่าแนวโน้มประชากรของประเทศไทยในปี2568 โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z จำนวนประชากรทรงตัวและเริ่มลดลง จากปี2553 มี 13 ล้านคน ในปี2593 จะลดลงเหลือ 12 ล้านคน ส่วนกลุ่ม Gen X กำลังขยายตัวอย่างก้าวกระโดด จากปี 2553 มี 12 ล้านคน ในปี 2568 เพิ่มเป็น 26 ล้านคน

MI LEARN LAB จึงได้ทำการศึกษา แยกวิเคราะห์ผู้บริโภคทั้ง Gen Z และ Gen Horizon ออกมาเพื่อให้เห็นทิศทางและพฤติกรรมการบริโภคที่ต่างขับเคลื่อนประเทศไทยจากคนละทิศทาง แต่ส่งผลร่วมกันอย่างมีพลัง โดยพบว่า Gen Z เป็นผู้กำหนดเทรนด์ หรือ Trend Setter ส่วน Gen Horizon ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักเพราะมีพลังในการใช้จ่ายมากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นกลุ่ม Main Spender


เพราะจากประเมินมูลค่าการเศรษฐกิจ (จากประมาณการค่าใช้จ่ายรายเดือน) ของทั้งสองเจนเนอเรชั่น พบว่า GEN Z กว่า 13 ล้านคน มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2.6 ล้านล้านบาทต่อปี Average monthly income อยู่ระหว่างช่วง 12,000 - 25,000 บาท เฉลี่ยใช้จ่าย 60-90% ของรายได้ ส่วน Gen Horizon กว่า 16 ล้านคนนั้น มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ 5 ล้านล้านบาทต่อปี Average monthly income อยู่ระหว่างช่วง 25,000 - 40,000 บาท เฉลี่ยใช้จ่าย 60-80% ของรายได้

แม้จะมีงานวิจัย Gen Z อยู่มาก แต่ MI LEARN LAB ต้องการนำเสนอเลนส์ใหม่ในการเข้าใจคนรุ่นนี้ ขณะเดียวกันเราได้วางกรอบของ Gen Horizon เพื่อสะท้อนว่าพวกเขากำลังนิยาม วัยเกษียณใหม่ ที่นำไปสู่ New Retirement Economy ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและคุณภาพชีวิตดีกว่ารุ่นก่อน

“สิ่งที่เราสรุปได้ ไม่ใช่เพียงข้อมูลเชิงพฤติกรรม แต่คือโอกาสทางการตลาดจากพลังการจับจ่าย และ Framework เชิงกลยุทธ์ ที่จะช่วยให้นักการตลาดออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์ทั้งวันนี้ พร้อมสร้างรากฐานความยั่งยืนในอนาคต" นางสาววรินทร์ กล่าว


นายณัฐพันธุ์ ไพรัชวรรณ Strategic Planning Manager บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จํากัด หรือ MI GROUP กล่าวว่า เมื่อเจาะลึกในรายละเอียด จะพบว่าในส่วนของ Gen Z คือ ตัวแทนของ Early Force เป็นพลังวัยต้นที่กำลังกำหนดอนาคตการบริโภคและวัฒนธรรมใหม่ของประเทศ พวกเขาจะกลายเป็นกำลังซื้อหลักในอีก 7 ปีข้างหน้า และปัจจุบันก็เป็นกลุ่มที่แบรนด์และนักการตลาดให้ความสนใจมากที่สุด พวกเขาคือพลังของ 'กำลังซื้อแห่งอนาคต' ที่สะท้อนผ่านพฤติกรรมการใช้จ่าย ความคิดสร้างสรรค์ และการขับเคลื่อนเทรนด์ในหลายอุตสาหกรรม

โดย Gen Z's Culture Is "Hyper Fragmented" จะเป็นในรูปแบบของประสบการณ์สู่การต่อยอดบทบาทและตัวตนหลากหลาย ซึ่ง Gen Z ยังแบ่งออกเป็น 3 ช่วงวัย คือ 1.วัยเรียน มี 5.5 ล้านคน (42%) เป็นช่วงค้นหาตัวตน, ต้องการการยอมรับ, ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์, เชื่อมต่อ แสดงออก, อยู่กับปัจจุบัน, อารมณ์นำ ปรับตัวไวและเปิดรับเร็ว โดยกว่า 54% รู้จักและสนใจสินค้า จากกลุ่มเพื่อนและคนรู้จักใกล้ตัว และ 23% ตัดสินใจซื้อเพราะสินค้ากำลังอยู่ในกระแส
2.วัยมหาวิทยาลัย มี 4.8 ล้านคน (36%) เป็นช่วงค้นหาสมดุลชีวิต, อิสระ ได้เลือกเอง, ตัดสินใจอย่างชาญฉลาด, เชื่อมต่อ แสดงออก, มีความหมายในชีวิต, ความจริงแท้ต่อตัวตน โดยกว่า 61% หาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าด้วยตัวเอง "เมื่อสินค้าตรงกับความต้องการ" และกว่า 78% เปรียบเทียบราคาก่อนตัดสินใจซื้อ

3.วัยทำงานตอนต้น มี 2.8 ล้านคน (21%) เป็นช่วงอายุที่มองโลกตามจริง, มองหาความมั่นคงทางอารมณ์, ต้องการความเชื่อใจ, มีเป้าหมายระยะยาว, เรียนรู้จากประสบการณ์, เริ่มให้คุณค่ากับเป้าหมายของชีวิต โดย 82% เลือกที่จะไม่เปลี่ยนแบรนด์หากคุณภาพของสินค้าและบริการไม่เปลี่ยน และอีก 52% ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าเป็นหลัก


จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นถึงความแตกต่างที่สําคัญระหว่าง 3 กลุ่มนี้ ได้แก่ 1.วัยเรียน ในเรื่องของแรงบันดาลใจ มาจากความรักและมิตรภาพ การยอมรับทางสังคม และการสำรวจ ทางด้านพฤติกรรมจะใช้ TikTok อย่างหนัก ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์ และอยู่ในช่วงสำรวจตัวตน และความสนใจของตนเอง และพฤติกรรมการใช้จ่ายจะพึ่งพาการสนับสนุนจากครอบครัวเป็นหลัก ใช้จ่ายตามความสนใจและเทรนด์ เลือกซื้อสิ่งที่อยากได้มากกว่าสิ่งที่จำเป็น มักซื้อเพราะความน่ารักหรือสไตล์ที่ชอบโดยเมื่อเจาะลึกการใช้จ่าย จะมาจากความน่าดึงดูดและความเป็นไวรัล หากเป็นคอนเท้นท์จะชอบแบบคอนเทนต์สนุก สั้น ทันเทรนด์ ให้ความรู้สึกเหมือน "เพื่อนแนะนำเพื่อน" และเรื่องของโปรโมชั่น จะแชร์โค้ดส่วนลดแบบเพื่อนชวนเพื่อน หรือโค้ดแนะนำเพื่อน

2. วัยมหาวิทยาลัย ในเรื่องของแรงบันดาลใจ จะเป็นการศึกษา/อาชีพ และการหาเส้นทางอนาคต ทางด้านพฤติกรรมมุ่งสร้างสมดุลระหว่างการเรียนหรือการทำงานกับชีวิตส่วนตัว พร้อมทั้งสำรวจเส้นทางอาชีพและโอกาสต่างๆ และพฤติกรรมการใช้จ่ายยังคงได้รับการสนับสนุนเป็นหลัก แต่เริ่มมีรายได้เอง ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์แต่ใช้จ่ายอย่างมีสติมากขึ้น เปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่งก่อนตัดสินใจซื้อ โดยเมื่อเจาะลึกการใช้จ่ายจะต้องคุ้มค่าเงิน หากเป็นคอนเท้นท์จะชอบแบบแสดงคุณค่าของสินค้าในเชิงการใช้งานจริง ว่าสินค้านั้นเข้า กับไลฟ์สไตล์และชีวิตประจำวันอย่างไร และเรื่องของโปรโมชั่น จะชอบแบบดีลสำหรับผู้ซื้อครั้งแรก แฟลชเซลส์ และคูปองสำหรับการรีวิวสินค้า

3. วัยทำงานตอนต้น ในเรื่องของแรงบันดาลใจ จะเกี่ยวกับการเติบโต ความมั่นคง การวางแผนชีวิต ทางด้านพฤติกรรมมุ่งเน้นการเติบโตในอาชีพ เริ่มวางแผนความมั่นคงทางการเงิน ให้ความสำคัญกับการดำรงชีวิตอย่างมั่นคง และพฤติกรรมการใช้จ่าย มีรายได้มั่นคง ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล ให้ความสำคัญกับคุณภาพประสบการณ์ที่ดี และภักดีต่อแบรนด์ที่เชื่อถือ โดยเมื่อเจาะลึกการใช้จ่าย จะต้องคุ้มค่าในระยะยาว หากเป็นคอนเท้นท์จะชอบแบบเน้นคุณค่าระยะยาวของสินค้า พร้อมรีวิวเชิงลึกจากหลายแพลตฟอร์ม และเรื่องของโปรโมชั่น จะชื่นชอบการสะสมแต้ม การเป็นสมาชิก VIP และได้ของขวัญ เมื่อมียอดใช้จ่ายถึงตามกำหนด

ทั้งนี้เมื่อเจาะลึกถึงบทบาทสำคัญของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มในชีวิตของ Gen Z จะพบว่า 1. YouTube เพื่อค้นคว้า / ตรวจสอบข้อมูล 2. Instagram พื้นที่แสดงตัวตน 3. Shopee Lazada ช่องทางซื้อ (ไม่ใช่แหล่งค้นหา) 4.TikTok ช่องค้นหาใหม่ (Search via Social) 5. Social proof อิทธิพลจากเพื่อนคือทุกอย่าง

แต่ละช่วงวัยของ Gen Z มาพร้อมแรงขับและพลังการจับจ่ายที่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะ กล่าวคือ วัยเรียน ต้องการการเป็นส่วนหนึ่ง อยากได้รับการยอมรับจากเพื่อนและรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่เห็นและเป็นจริง และสิ่งที่ให้คุณค่า คือ พลังทางสังคม และการแสดงตัวตนผ่านเทรนด์ ส่วนวัยมหาวิทยาลัย จะมุ่งการสร้างตัวตน ค้นหาความอิสระและสมดุลชีวิต เริ่มสร้างเส้นทางของตัวเองต้องการความชัดเจนระหว่างสิ่งที่ฝันและสิ่งที่ใช่ ให้คุณค่ากับการพัฒนาและเติบโตอย่างมีจุดหมาย และวัยทำงาน มองหาการมั่นคงในตัวเอง ต้องการพัฒนาในเส้นทางที่มั่นคงพร้อมความสุขระยะยาวมากกว่าเทรนด์สั้น และให้คุณค่ากับความจริงแท้และการเติบโตที่ยั่งยืน

นักการตลาดจึงต้องเข้าใจ Moment of Life มากกว่าแค่ช่วงอายุ เพราะการใช้จ่ายของ Gen Z ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยราคาแต่ด้วยคุณค่าทางอารมณ์และการแสดงตัวตนทำให้พวกเขากลายเป็นพลังผู้บริโภคยุคใหม่ที่กำหนดอนาคต ส่วนในเรื่องคุณค่าและอารมณ์นั้น Gen Z ให้ความสำคัญกับคุณค่าภายในในแบบของตัวเอง ซึ่งการแสดงออกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การใช้โซเชียล การเลือกแบรนด์ ล้วนขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ความรู้สึก และคุณค่าภายใน ดังนั้น Gen Z ต้องการแบรนด์ที่เข้าใจมากกว่าเสนอขาย

“การเข้าใจ Gen Z ไม่ใช่แค่รู้ว่า พวกเขาทำอะไร แต่คือการเข้าใจว่าอะไรขับเคลื่อนพวกเขา มองพวกเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีหลายบทบาทในชีวิต คือจุดเปลี่ยนจากข้อมูลสู่ความเข้าใจที่ช่วยให้แบรนด์ออกแบบกลยุทธ์และการสื่อสารได้อย่างเข้าถึงใจ การมองผ่านกรอบ Outer-Inner-Individual Core ทำให้เราเข้าใจทั้งพฤติกรรม อารมณ์ และตัวตนของคนรุ่นใหม่เพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความหมายจริงๆ“ นายณัฐพันธุ์ กล่าว


นายพศธร สุขอัมพร New Business Development Director บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป จํากัด หรือ MI GROUP กล่าวถึง Gen Horizon ว่า เป็นเจเนอเรชันที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความรับผิดชอบและการเริ่มต้นใหม่ พวกเขาคือกุญแจสำคัญที่แบรนด์ควรเข้าใจ เพื่อช่วยให้คนไทยก้าวสู่วัยสูงอายุอย่างมั่นใจ ด้วยการเริ่มต้นวันนี้ เพื่อสร้างวันพรุ่งนี้ที่มั่นใจ และเต็มไปด้วยความหมาย

ทั้งนี้จากการศึกษาพบว่า GEN HORIZON กำลังจะกลายเป็นกลุ่มผู้สูงอายุหลักในปี ค.ศ. 2050 สะท้อนการเปลี่ยนโครงสร้างประชากรในประเทศไทย กล่าวคือ ข้อมูลในปีค.ศ. 2030 ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมี 20.4 ล้านคน คิดเป็น 33% ของจำนวนประชากรท้้งหมด และในปีค.ศ. 2050 จะเพิ่มเป็น 60% หรือกว่า 26 ล้านคน นอกจากนี้ยังพบว่าพวกเขามีรายได้สูง และมีอำนาจในการตัดสินใจใช้จ่ายสูงกว่ากลุ่มอื่น โดยผู้ที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะมีรายได้เฉลี่ย 40,000 บาทต่อเดือน และผู้ที่อยู่ในต่างจังหวัด จะมีรายได้เฉลี่ย 25,000 บาทต่อเดือน

ขณะที่พฤติกรรมการใช้สื่อและโซเชียลของ GEN HORIZON พบว่า ใช้เวลาบนโลกออนไลน์เฉลี่ยวันละ 6 ชั่วโมง, ใช้เวลาดูทีวีเฉลี่ยวันละ 3.3 ขั่วโมง, รับข่าวสารผ่านทางโซเชียลมีเดีย 40%, ใช้บริการด้านสุขภาพและฟิตเนสผ่านทางดิจิทัล 25%

นี่คือ 4 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ Gen Horizon คือกลุ่มที่เราต้องเข้าใจตั้งแต่วันนี้ 1. ประเทศไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่สังคม Super-Aged Society คนกลุ่มนี้กำลังจะกลายเป็นกลุ่มหลักในหมู่ผู้สูงอายุในอนาคต การที่แบรนด์เริ่มเข้าใจพวกเขาในวันนี้คือการเตรียมความพร้อมสำหรับการทำตลาดในอนาคต 2. มีสัดส่วนประชากรเยอะที่สุดในประเทศ เมื่อเทียบกับ Generation อื่นๆ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างชัดเจน 3.เป็นกลุ่มวัยที่มีทั้งรายได้และทรัพย์สิน คนกลุ่มนี้มีรายได้อยู่ในช่วงรายได้สูงและมีความมั่งคั่งที่สะสมมาเป็นระยะเวลานาน จึงมีกำลังซื้อมากกว่ากลุ่มอื่น 4.เป็นกลุ่ม Sandwich Decision-Makers เป็นกลุ่มวัยกลางคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งพ่อแม่และลูกของตนเอง จึงทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินใจให้หลายคนในครอบครัว


จากการศึกษาทำให้ทราบถึง 7 แกนหลัก ของ GEN HORIZON ที่พวกเขาให้ความสำคัญ เพื่อเป็นเข็มทิศในการดำเนินชีวิต คือ 1.การเงิน ต้องการมีเงินใช้ตอนเกษียณ แม้เป็นช่วงอายุที่มีรายได้สูงสุด แต่ 62% รู้สึกไม่พร้อมต่อวัยเกษียณ และ 68% ยังพึ่งพาเงินสดเป็นหลัก 2. สุขภาพ ไม่อยากป่วยติดเตียง แม้จะใส่ใจสุขภาพแต่ยังขาดการป้องกัน เพราะมีเพียง 35% ตรวจสุขภาพประจำปี 3.ที่อยู่อาศัย ต้องการมีเพื่อความสะดวกสบายในชีวิต ซึ่ง 42% ยอมรับว่าบ้านยังไม่พร้อมต่อการเป็นบ้านผู้สูงอายุ 4.ครอบครัว ไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน 5.คุณค่าตัวเอง กลัวว่าตนไม่มีความสาคัญอีกต่อไป 6.เทคโนโลยี ปรับตัวใช้เทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ 7.กิจกรรมทางสังคม ไม่อยากโดดเดี่ยวจากสังคมและเพื่อนฝูง

ผลของการสำรวจ 7 แกนสำคัญ เพื่อเข้าใจช่องว่างและการเติมเต็มของ Gen Horizon โดยพบว่า ด้านการเงิน Gen Horizon ยังต้องการโอกาสในการวางแผนและเตรียมความพร้อมทางการเงินให้ดีขึ้น เพราะ 62% ยังไม่มั่นใจว่าจะมีเงินออมเพียงพอสำหรับใช้ชีวิตหลังเกษียณ และอีก 55% มีเพียงประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตพื้นฐาน เสี่ยงต่อภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในอนาคต แนวทางในการพัฒนา คือ สำรวจโอกาสใหม่ๆ ผ่านงานเสริม หรือต่อยอดศักยภาพผ่านการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างรายได้ที่มากขึ้น หรือศึกษาและกระจายการออมและการลงทุน ด้วยทางเลือกที่เข้าใจง่ายและปลอดภัย

ส่วนทางด้านสุขภาพ Gen Horizon ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพ แต่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงมือทำตาม ทั้งสองด้านมีช่องว่างสำหรับโอกาสทางธุรกิจอย่างมาก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีช่องว่าง เช่น 65% รู้ถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน แต่มีเพียง 35% เท่านั้นที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ขณะที่ 30% มีความกังวลสูงเกี่ยวกับโรคเรื้อรัง แนวทางในการพัฒนา คือ ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและแอปพลิเคชันสุขภาพ พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ ผ่านการเข้าร่วมคอมมูนิตี้สุขภาพและฟิตเนส ที่ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอ


ส่วนความสำคัญรองลงมาแต่ยังมีช่องว่างสำหรับโอกาสทางธุรกิจ คือ ด้านที่อยู่อาศัยและครอบครัว Gen Horizon อยากอยู่แบบครอบครัวใหญ่ และอยากมีบ้านที่รองรับวัยเกษียณ สาเหตุที่ทำให้มีช่องว่าง เป็นเพราะ 42% รู้สึกว่าบ้านของตนยังไม่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยในวัยสูงอายุ และอีก 54% ต้องดูแลทั้งพ่อแม่ที่สูงอายุ และยังต้องเลี้ยงดูลูกในขณะเดียวกัน แนวทางในการพัฒนา คือ ปรับปรุงความปลอดภัยภายในบ้านอย่างยั่งยืน เช่น ติดตั้งพื้นกันลื่น ราวจับนิรภัยระบบตรวจจับอัจฉริยะ และสัญญาณเตือนฉุกเฉิน เป็นต้น ลดความเสี่ยงด้วยการซื้อประกันสุขภาพแบบครอบครัวหรือซื้อแพคเกอดูแลสุขภาพแบบครอบครัวเพื่อความครอบคลุมครบทุกช่วงวัยในบ้าน

ด้านคุณค่าของตัวเอง Gen Horizon ต้องการเติมคุณค่าให้ชีวิต กลัวไร้เป้าหมายและความหมายในชีวิตหลังเกษียณ สาเหตุที่ทำให้มีช่องว่าง เพราะ 63% กลัวว่าชีวิตหลังเกษียณจะไร้เป้าหมายเนื่องจากไม่ได้ทำงานสร้างรายได้แล้ว และกว่า 58% ต้องการทำกิจกรรมที่มีความหมาย นอกเหนือจากหน้าที่ในครอบครัวและงานประจำ เพื่อเติมเต็มจิตใจและได้ใช้เวลาทำในสิ่งที่ชอบ แนวทางในการพัฒนา คือ เติมคุณค่าให้ชีวิต ผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ 1.ด้านการพัฒนาทักษะและค้นหาศักยภาพใหม่ อย่างการทำเวิร์กช็อปเสริมทักษะสร้างสรรค์ เช่น ทำอาหาร ปั้นเซรามิก ถ่ายภาพ ทำคอนเท้นต์ เป็นต้น การต่อยอดศักยภาพ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อสร้างคุณค่าให้สังคม เช่น เป็นวิทยากร เป็นที่ปรึกษาทางธุรกิจ 2.ด้านจิตใจและความสุข ทำเวิร์กช็อปเพื่อการผ่อนคลายและฟื้นฟูจิตใจ เช่น Breathwork & Sound healing workshop และกิจกรรม Share & Care Therapy ให้พื้นที่แบ่งปันและเยียวยาทางใจ

“Gen Horizon เป็นกลุ่มที่เราต้องเข้าใจความต้องการและการเติมเต็มของชีวิตของพวกเขา พวกเขากำลังสร้างสมดุลในชีวิตระหว่างความรับผิดชอบด้านการเงิน, ความสุขที่เติมเต็มชีวิตและความยั่งยืนในอนาคต ด้วยการปรับแนวคิดจาก ชีวิตแบบ 3 ช่วง คือ เรียน ทำงาน เกษียณ สู่ชีวิตแบบหลายช่วง เพื่อเตรียมที่จะปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ และทบทวนสิ่งที่ผ่านมาสู่การนิยามคุณค่าใหม่ของชีวิต แนวทางสำหรับแบรนด์ คือ 1.มุ่งสร้างพลังให้การเริ่มต้นใหม่หรือการเปลี่ยนอาชีพ เพื่อให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและยังคงเติบโตได้เสมอ 2.ผสานการเงิน สุขภาพ และไลฟ์สไตล์ ให้แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ที่ช่วยให้พวกเขามั่นคงและสบายใจ 3.สร้างคอมมูนิตี้ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีคุณค่า เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และยังคงมีบทบาทสำคัญในโลกใบนี้“ นายพศธร กล่าว






กำลังโหลดความคิดเห็น