ส.อ.ท. เสนอBYDและค่ายรถอีวีแบรนด์จีน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการชิ้นส่วนฯไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานมากขึ้น แม้ว่ามีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่จะช่วยเพิ่มการจ้างงาน และเศรษฐกิจไทย ด้านBYD เตรียมเพิ่มสัดส่วนLocal Contentเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบัน 54% ตั้งเป้าปีนี้จ่อส่งออกรถยนต์อีวีที่ผลิตในไทยแตะ 1 หมื่นคัน
วันที่ 17 ตุลาคม 2568 คณะผู้บริหารส.อ.ท.เยี่ยมชมโรงงานของบริษัท บีวายดี ออโต้(ประเทศไทย) จำกัด(BYD) ผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า(อีวี) ในส่วนกระบวนการผลิตภายในโรงงาน 3ส่วนหลัก คือ โรงประกอบ (Assembly Plant) สามารถรองรับการผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่นทั้งตลาดในประเทศและส่งออกสู่ต่างประเทศ ,โรงเชื่อม (Welding Plant) มีการใช้หุ่นยนต์เชื่อมอัตโนมัติที่มีความแม่นยำสูงและมีระบบตรวจสอบคุณภาพแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ได้โครงสร้างรถยนต์ที่แข็งแรงและปลอดภัยสูงสุด และโรงแบตเตอรี่ (Battery Plant) โดยนำเข้าแบตเตอรี่เซลล์จากจีนมาประกอบเป็นแบตเตอรี่แพ็คเพื่อใช้ในรถอีวีของBYD ที่นิคมฯดับบลิวเอชเอ ระยอง36 จ.ระยอง เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองด้านการพัฒนาอุตฯยานยนต์ไฟฟ้า ส่งเสริมเทคโนโลยีสีเขียว สร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่โครงสร้างเศรษฐกิจใหม่(New S-Curve)อย่างยั่งยืน
นายเซียว ไห่ ผิง ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสำนักท่านประธานกลุ่มบริษัท บีวายดี กล่าวว่า ขณะนี้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ BYD ในประเทศไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หลังเปิดดำเนินการผลิตเดือนกรกฎาคม 2567 มีการผลิตรถยนต์สะสมแล้ว 5.5 หมื่นคัน คาดว่าปีนี้จะผลิตรถยนต์ได้มากกว่า 4 หมื่นคัน โดยเกือบเต็มกำลังผลิต 1 กะราว 5-6 พันคันต่อเดือน บริษัทมีแผนเพิ่มการผลิตเป็น 2 กะ เพื่อรองรับความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้สัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด
ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานราว5,800คน เป็นคนไทย 92%คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนคนไทยขึ้นเป็น 95%ในปลายปีนี้ และมีการใช้ชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศ (Local Content) 54% โดยมีผู้ผลิตชิ้นส่วนท้องถิ่นกว่า 35 ราย และความร่วมมือในประเทศกว่า 529 ชิ้นส่วนฯ เป็นสัญญาณบวกต่อการสร้างฐานการผลิตที่มั่นคงในไทย ซึ่งในอนาคตบริษัทมีแผนจะเพิ่มLocal Contentให้มากขึ้น
อย่างไรก็ดีในช่วง2-3ปีที่ผ่านมา ตลาดยานยนต์ไทยปรับลดลง เป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้ายังเติบโตดีแต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น บริษัทจึงหันมาทำตลาดส่งออกรถยนต์อีวีไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันมียอดส่งออกรถยนต์ไปแล้ว 3,300คันไปยุโรป และเวียดนาม คาดว่าทั้งปีนี้จะส่งออกครบ 10,000คัน
ทั้งนี้ ประเทศไทยยังคงมีความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกำลังซื้อในประเทศ แต่ก็ถือเป็น “โอกาสทอง” ที่จะต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์พลังงานใหม่ของภูมิภาค โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ดังนั้นหากรัฐบาลสามารถต่อยอดมาตรการไปสู่ EV4.0 หรือ 4.5 จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงทุนและผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่แข็งแกร่งระดับโลก
ทั้งนี้ BYD ไม่ได้มองว่าไทยเป็นเพียงฐานการผลิต แต่เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาด ซึ่งบริษัทมุ่งมั่นสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของภาครัฐ ทั้งผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายและสร้างเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เพื่อส่งเสริมศักยภาพของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน
ตลาดยานยนต์ในไทยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 6 แสนคัน โดยในจำนวนนี้ 1 แสนคัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสะท้อนว่าไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ ประเทศผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 10 ของโลก
ส่วนกรณีที่มี“การเรียกรถคืน” จำนวน 1 แสนคัน ผู้บริหาร BYD ยืนยันว่า เป็นรถรุ่นปี 2015 ที่ผลิตในจีนและไม่ได้จำหน่ายในไทย พร้อมย้ำว่า บริษัทให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อลูกค้าอย่างสูงสุด
นายนาวา จันทรสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ดีใจที่BYDมีเป้าเพิ่ม Local Content มากกว่า 54%แต่ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ขอความชัดเจน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทยก็พร้อมสนับสนุน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสัดส่วน Local Contentเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี ส.อ.ท.อยากขอให้ BYD และผู้ผลิตรถอีวีแบรนด์จีนอื่นๆ ไม่มองเพียงแค่เชิงตัวเลขของต้นทุนราคาชิ้นส่วนฯกับซัพพลายเออร์ไทย เพราะ จีนมีความได้เปรียบด้านEconomy of Scale ย่อมได้เปรียบด้านราคามากกว่าผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทย แต่อยากให้บริษัทรถยนต์แบรนด์จีน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) มากขึ้น ให้มองกำไรเชิงพันธมิตรทางธุรกิจและช่วยสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนไทย
ปัจจุบันแรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนลดลงเหลือประมาณ 4 แสนคน จากเดิมกว่า 6 แสนคน เนื่องจากการใช้ชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ หากโรงงานต่างชาติในไทยเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจ้างงานในประเทศได้อย่างเป็นรูปธรรม