สนข.อัปเดต "แลนด์บริดจ์" ลงทุน 9.97 แสนล้านบาท สรุปผลศึกษา ปรับดีมานด์ตัวเลขขนส่งสินค้า ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากผลกระทบภาษีสหรัฐฯ “พิพัฒน์” พร้อมชง พ.ร.บ.SEC เข้า ครม. เป้าประมูลปี 69 มั่นใจสร้างเส้นทางขนส่งใหม่ของโลก หนุนเศรษฐกิจไทย
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) สรุปการสัมมนาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (โครงการแลนด์บริดจ์) ไปเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 มีการรายงานผลการศึกษาความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) พร้อมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วน โดยมีตัวแทนจากผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม ถือเป็นอีกโครงการที่ใช้ระยะเวลาในการศึกษานานถึง 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2564-2568) เนื่องด้วยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีกรณีผลกระทบทั้งแง่พื้นที่ ประชาชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ
ตลอด 4 ปี สนข.ได้ลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นไปแล้ว 60 เวที เพื่อนำเสนอแนวคิดและรูปแบบการดำเนินโครงการ เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และกระบวนการเรียนรู้ร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย โดยเปิดรับฟังข้อเสนอแนะจากภาครัฐ เอกชน ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่ พร้อมรับฟังความเห็นจากผู้เกี่ยวข้องปรับปรุงข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
มีการกำหนดมาตรการในการป้องกัน และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างครบถ้วน โดยยึดหลักการพัฒนาโครงการให้เกิดความยั่งยืน เพื่อให้โครงการสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนควบคู่กับการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบอาชีพของคนท้องถิ่นผ่านกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) รวมถึงกำหนดให้ผู้บริหารโครงการจัดตั้งกองทุน เพื่อนำเงินไปใช้ในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมให้ชุมชนมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก่อนมีการพัฒนาโครงการอีกด้วย
@ผลศึกษาใหม่ ปรับดีมานด์สินค้า -ภาษีสหรัฐฯ ฉุดเศรษฐกิจโลก
นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ ผู้อำนวยการ สนข. เปิดเผยว่า การศึกษาล่าสุดได้มีการปรับปรุงดีมานด์ใหม่ เนื่องจากปัจจุบันมีปัจจัยหลายเรื่องที่เข้ามากระทบ โดยเฉพาะภาษีสหรัฐอเมริกา ที่จะมีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ และกระทบต่อการเติบโตของ GDP โลก ซึ่งเดิมมองว่า แลนด์บริดจ์จะมีปริมาณตู้สินค้าเติบโต 20 ล้านทีอียู ในช่วง 15 ปี ส่วนการประเมินใหม่ คาดว่าปริมาณสินค้าจะอยู่ที่ประมาณ 13-14 ล้านทีอียู ในช่วง 15 ปี แต่หลังจากนั้นมีโอกาสเติบโตไปถึง 20 ล้านทีอียู ได้ในช่วงปีที่ 25 ถึงปีที่ 26
“คาดการณ์ว่าปริมาณสินค้าเติบโตช้าลง ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก”
ดังนั้นจึงได้ปรับแผนการพัฒนาแลนด์บริดจ์ให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากแผนเดิมฝั่งท่าเรือระนอง พัฒนาเป็น 3 เฟส โดยเฟส 1 รองรับ 6 ล้านทีอียู และขยายการรองรับเป็น 12 ล้านทีอียู ในอีก 5 ปี และขยายการรองรับเป็น 20 ล้านทีอียู ภายใน 15 ปี
ผลการศึกษาล่าสุด มีแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะแรกมี 3 เฟส เฟสแรกรองรับที่ 4 ล้านทีอียู เฟสที่ 2 ขยายเป็น 8 ล้านทีอียู ภายใน 3 ปี และเฟสที่ 3 ขยายเป็น 14 ล้านทีอียูภายใน 20 ปี และในระยะที่ 2 จะขยายรองรับที่ 20 ล้านทีอียู
@หั่นลงทุนเหลือ 9.97 แสนล้านบาท
ผลการศึกษาล่าสุดที่มีการปรับดีมานด์การขนส่งสินค้าและการลงทุนใหม่ตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก ทำให้มูลค่าลงทุนรวมลดลงมาอยู่ที่ 997,680.1 ล้านบาท จากช่วงแรกที่ประเมินค่าลงทุนมากกว่า 1.01 ล้านล้านบาท โดยแบ่งการพัฒนาออกเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 มี 3 เฟส ดังนี้
เฟส 1/1 ปี มีมูลค่าลงทุนรวม 617,067 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ก่อสร้างท่าเรือ รวม 177,466.6 ล้านบาท แบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งชุมพร 102,092.8 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งระนอง 75,373.8 ล้านบาท
- พื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) รวม 35,311.1 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 20,592.4 ล้านบาท ฝั่งระนอง 14,718.7 ล้านบาท
- เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ รวม 219,502 ล้านบาท แบ่งเป็น มอเตอร์เวย์ 138,990 ล้านบาท และรถไฟ ขนาดราง 1.435 เมตร 80,512 ล้านบาท
- การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์ รวม 42,305.4 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 20,271.9 ล้านบาท ฝั่งระนอง 22,033.5 ล้านบาท
- การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวม 142,482 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 62,657ล้านบาท ฝั่งระนอง 79,825 ล้านบาท
การพัฒนาเฟส 1/2 มีมูลค่าลงทุนรวม 174,963 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ก่อสร้างท่าเรือ รวม 109,596.2 ล้านบาท แบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งชุมพร 46,465.8 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งระนอง 63,130.63 ล้านบาท
- พื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) รวม 20,756.6 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 8,827.7 ล้านบาท ฝั่งระนอง 11,928.9 ล้านบาท
- เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ รวม 36,561 ล้านบาท แบ่งเป็น มอเตอร์เวย์ 23,201 ล้านบาท และรถไฟ ขนาดราง 1.435 เมตร 13,360 ล้านบาท
- การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์ รวม 8,050.1 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 3,981.5 ล้านบาท ฝั่งระนอง 4,068.7 ล้านบาท
การพัฒนาเฟส 1/3 มีมูลค่าลงทุนรวม 205,649.7 ล้านบาท ประกอบด้วย
- ก่อสร้างท่าเรือ รวม 147,484.5 ล้านบาท แบ่งเป็น ท่าเรือฝั่งชุมพร 69,194.9 ล้านบาท ท่าเรือฝั่งระนอง 78,289.6 ล้านบาท
-พื้นที่เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (SRTO) 26,712.4 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 13,335.1 ล้านบาท ฝั่งระนอง 13,377.2 ล้านบาท
- เส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือ เป็นรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร มูลค่า 15,410 ล้านบาท
- การลงทุนพื้นที่อเนกประสงค์ มูลค่า 16,042.8 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งชุมพร 5,625.5 ล้านบาท ฝั่งระนอง 10,417.3 ล้านบาท
@ ลดเป้าเฟส 1 คาดสินค้า 4 ล้านทีอียู
ขณะที่การคาดการณ์ปริมาณการขนส่งสินค้ามีการปรับไปตามผลกระทบเศรษฐกิจโลก แบ่งเป็น 2 ระยะ
โดยระยะที่ 1 ประกอบด้วย เฟส 1/1 เปิดบริการปี 2574 คาดการณ์ปริมาณสินค้า ท่าเรือระนอง 3.75 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 3.765 ล้านทีอียู
เฟส 1/2 เปิดบริการปี 2577 (อีก 3 ปีถัดไป) คาดการณ์ปริมาณสินค้า ท่าเรือระนอง 8.132 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 8.067 ล้านทีอียู
เฟส 1/3 เปิดบริการปี 2596 (อีก 19 ปีถัดไป) คาดการณ์ปริมาณสินค้า ท่าเรือระนอง 14.092 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 13.835 ล้านทีอียู
ระยะที่ 2 เปิดบริการปี 2622 (อีก 26 ปีถัดไป) คาดการณ์ปริมาณสินค้า ท่าเรือระนอง 20 ล้านทีอียู ท่าเรือชุมพร 20 ล้านทีอียู
@ที่ปรึกษาระดับโลกช่วยตรวจสอบ ยืนยันความคุ้มค่า/เป็นไปได้
นอกจากนี้ สนข.ได้จ้าง บริษัท Royal HaskoningDHV จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบท่าเรือระดับโลก มาช่วยดูผลการศึกษาและให้ความเห็นเพิ่มเติมในมุมมองของต่างชาติ เพื่อความมั่นใจ ทั้งเรื่อง ความเป็นไปได้และความคุ้มค่าในการลงทุน โดยจะมีการสรุปผลช่วงปลายเดือนต.ค.นี้
@นักลงทุนกังวล "ไม่คุ้มค่า-สายเรือไม่มา-สิทธิประโยชน์จากรัฐ"
จากการทดสอบความสนใจภาคเอกชน (Market Sounding) มีข้อสรุปความเห็น 3 หัวข้อ คือ ด้านความท้าทายในการรวม Consortium Combination ที่มีผลต่อความสำเร็จของโครงการ ได้แก่ 1. ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ด้านการแบ่งผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย 2. ความต้องการของสายเรือ คือความคุ้มค่าของต้นทุนในการขนถ่ายสินค้า และข้อจำกัดด้านระยะเวลาเท่านั้น หรือต้องมีราคาสมเหตุสมผล และใช้เวลาให้สั้นที่สุด 3. ควรมีเงื่อนไขในการดึงดูดบริษัทท้องถิ่นในพื้นที่เข้ามาเป็นหนึ่งในการรวมตัวจัดตั้ง Consortium 4. บริษัทต่างประเทศจะไม่คุ้นเคยกับกฎหมายข้อบังคับและข้อจำกัดของพื้นที่ การมีบริษัทในท้องถิ่นเข้าร่วมด้วยจะสามารถช่วยให้คำแนะนำเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จได้
ด้านอุปสรรคที่ส่งผลต่อความสำเร็จของโครงการ ได้แก่ 1. โครงการจำเป็นต้องพิจารณาถึงการสร้างความแตกต่างในการให้บริการ เนื่องจากต้องแข่งขันกับท่าเรือสิงคโปร์ ในเขตน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2. ยังไม่ได้รับข้อมูลและผลการศึกษาความเป็นไปได้ ยังต้องทำการศึกษาต่อไป ซึ่งทำให้นักลงทุนยังไม่แน่ใจ 3. ไม่มีสายเดินเรือมาใช้บริการเพราะระยะเวลา และราคาค่าขนส่งไม่ได้ลดจริง 4. โอกาสสำเร็จค่อนข้างน้อย /การทำงานของภาครัฐที่มีขั้นตอนทำให้ระยะดำเนินการเป็นไปได้ช้า
ด้านสิทธิประโยชน์ที่ต้องการได้รับจากทางภาครัฐ ได้แก่ 1. สิทธิขั้นพื้นฐานของบริษัทต่างชาติ และการลดหย่อนค่าธรรมเนียม/ภาษีของประเทศไทย 2. แหล่งเงินทุน การยกเลิกกฎระเบียบสำหรับโครงการ และการสนับสนุนสิทธิพิเศษทางด้านการเงิน เช่น อัตราภาษีที่ลดลง เป็นต้น 3. การเพิ่มมูลค่าที่ดินและความเจริญเมื่อการพัฒนาและการลงทุน/คนพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น / มีการพัฒนาเข้าถึงพื้นที่/ มีการขยายเครือข่ายช่องทางการขนส่งมากขึ้นรองรับการขนส่งภายในประเทศ (Domestic) รองรับของที่มาจากประเทศจีน และประเทศลาว อาทิ ทุเรียน
@“พิพัฒน์” หนุนเต็มสูบเร่งดันร่าง พ.ร.บ. SEC เข้า ครม.
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่มีกรอบระยะเวลา 4 เดือนนั้น จะเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (ร่า งพ.ร.บ. SEC) เพื่อสร้างศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่ดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในประเทศ
“ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ. SEC เหลือประเด็นกองทุนฯ โดยจะหารือกับกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จากนั้นจะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่วนขั้นตอนหลัง ครม.เห็นชอบ จะต้องเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และวุฒิสภา (ส.ว.) อีก ซึ่งไม่น่าทัน 4 เดือนนี้ เนื่องจาก สมัยการประชุมในชุดนี้จะปิดการประชุมวันที่ 31 ต.ค.นี้ เปิดสมัยการประชุมอีกทีวันที่ 12 ธ.ค. 2568”
พ.ร.บ.SEC มีความสำคัญ เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โครงการแลนด์บริดจ์เดินหน้าได้ องค์ประกอบแลนด์บริดจ์ จะมีการก่อสร้างท่าเรือ 2 ฝั่งทะเล “อ่าวไทยและ อันดามัน” มีทางถนน รถไฟ ระะยะทางประมาณ 90 กม. เชื่อมการขนส่งสินค้า หากไม่มีระบบแลนด์บริดจ์ โครงการจะไม่น่าสนใจ ขณะที่ปัจจุบันการใช้ช่องแคบมะละกาค่อนข้างแออัด แลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาขนส่งได้ 5 วัน จะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น ที่สำคัญ จะเป็นการสร้างงานให้คนในพื้นที่ถึง 280,000 ตำแหน่ง
@ออกแบบ & EIA “มอเตอร์เวย์-รถไฟทางคู่ W เสร็จกลางปี 69
สำหรับโครงสร้างพื้นฐานแลนด์บริดจ์ เชื่อมโยงท่าเรือ 2 ฝั่ง ที่กำหนดจุดก่อสร้างฝั่งอ่าวไทย ที่บริเวณแหลมริ่ว จังหวัดชุมพร ส่วนฝั่งอันดามัน ที่แหลมอ่าวอ่าง จังหวัดระนอง จะมีการพัฒนาแนวเส้นทางการพัฒนาระบบเชื่อมโยง ระยะทาง 96.75 กม. โดยเป็นระยะทางบนบก 89.35 กม. ระยะทางในทะเลสู่ท่าเรือระนอง 4 กม. ระยะทางในทะเลสู่ท่าเรือชุมพร 3 กม. แนวเส้นทางพาดผ่านพื้นที่ 2 จังหวัด 3 อำเภอ (จ.ระนอง : อ.เมืองระนอง, จ.ชุมพร : อ.หลังสวน และ อ.พะโต๊ะ)
ปัจจุบัน สนข.ได้ดำเนินการศึกษารายละเอียดและรายงานและกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมอ่าวอ่าง และท่าเรือเเหลมริ่ว เสร็จแล้ว
ส่วนกรมทางหลวง (ทล.) อยู่ระหว่างศึกษาออกแบบกรอบรายละเอียด (Definitive Design) ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) สายชุมพร-ระนอง ขนาด 6 ช่องจราจร และทำรายงานการประเมิน ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดสรุปผลช่วงปลายปี 2568
ด้านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) อยู่ระหว่างประกวดราคาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา เพื่อศึกษาออกแบบกรอบรายละเอียด ศึกษารายงาน EIA ทางรถไฟสายใหม่ จำนวน 4 ราง (Standard Gauge 2 Tracks และ Meter Gauge 2 tracks) คาดได้ข้อสรุปในเดือน ต.ค.-พ.ย. 68 ใช้ระยะเวลาศึกษา 6 เดือน คาดแล้วเสร็จกลางปี 2569
โดยคาดว่าการศึกษาออกแบบท่าเรือ มอเตอร์เวย์ รถไฟ จะเสร็จ สอดคล้องกับที่ พ.ร.บ.SEC ผ่านสภาฯ และเข้าสู่การจัดตั้งสำนักงาน SEC ขณะนี้ร่าง RFP จะแล้วเสร็จเปิดประมูลได้ในช่วงกลาง-ปลายปี 2569
แม้ภาครัฐจะผลักดัน "แลนด์บริดจ์" อย่างเต็มที่ แต่ก็ยังมีเสียงคัดค้านจากทั้งเครือข่ายอนุรักษ์ต่างๆ ตัวแทนภาคประชาชนในพื้นที่ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ที่กังวล การถมทะเล การเวนคืนที่ดินสร้างทางรถไฟและมอเตอร์เวย์ ความเสียหายต่อระบบนิเวศทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงกระทบอาชีพและวิถีชุมชน ที่สำคัญ ไม่เชื่อเรื่องการลดต้นทุนและเวลาขนส่งลง 4 วันเมื่อเทียบกับขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา และเห็นว่าตัวเลขคาดการณ์ 40 ล้านทีอียู นั้นเกินจริง
ด้าน สนข.ยังคงมั่นใจตัวเลขที่ศึกษานั้นไม่เกินจริง ตอนนี้นักลงทุนก็ยังให้ความสนใจ ทั้ง ดูไบ เวิลด์ พอร์ต, จีน, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย และเชื่อว่าแม้ประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย แต่หากนโยบายไม่เปลี่ยน ก็ไม่มีผลกระทบ แลนด์บริดจ์จะเกิดหรือไม่เกิดอยู่ที่นักลงทุน…ที่จะมาพร้อมเงินทุนและสินค้า!!!