อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ส่งเรื่องคืน รฟท. ไม่ฟ้องขับไล่”เขากระโดง” ทั้ง 995 รายแทน ชี้รายละเอียดพยานหลักฐานไม่ครบ แต่ละกรณีควรมีคำพิพากษาเพิกถอนยุติก่อน แนะรวบรวมข้อเท็จจริง 9 ข้อ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2568 ที่ผ่านมา นายวิรัตน์ วจนกิจไพบูลย์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ในขณะนั้น ได้มีคำสั่งให้ส่งเรื่องคืนและแนะนำการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินคดี กลับไปยัง ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า ตามที่ รฟท.ได้มีหนังสือมายังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อความอนุเคราะห์ให้รับดำเนินคดีแทน โดยขอให้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ถือเอกสารสิทธิและผู้ยึดถือครอบครองที่ดินมีโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการ จำนวน 995 ฉบับ โดยไม่ได้จัดส่งรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้ถือเอกสารสิทธิ ลักษณะการใช้ประโยชน์ของที่ดินเเต่ละแปลง รายละเอียดการออกเอกสารสิทธิ และที่ตั้งของที่ดินแต่ละแปลง
สำนักงานคดีแรงงานภาค 3 ซึ่งได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้พิจารณาเรื่องนี้เรียน ทราบว่า ตามที่อ้างว่า รฟท.เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตั้งแต่ส่วนแยกจากบุรีรัมย์ไปจนถึงเขากระโดง รวมระยะทาง ก.ม. เนื้อที่ประมาณ 5,083 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐเพื่อกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย
แต่ที่ดินบริเวณดังกล่าวกรมที่ดินได้ออกเอกสารสิทธิในที่ดินด้วยกฎหมายทับซ้อนกับที่ดินของ รฟท. โดยมีที่ดินที่มีการออกเอกสารสิทธิทั้งโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 995 ฉบับ และการรถไฟแห่งประเทศไทยขอให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนที่ดินของการรถไฟ ขับไล่ เรียกค่าเสียหายจาก ผู้ถือเอกสารสิทธิและผู้ครอบครองที่ดิน โดยไม่ปรากฎรายละเอียดว่าท่านมีความประสงค์จะให้ดำเนินคดีกับผู้ใด ผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิทั้งโฉนดที่ดิน และหนังสือรับรองการทำประโยชน์มี ทั้งหมดกี่ราย และที่ดินพิพาทดังกล่าวทุกแปลงอยู่บริเวณส่วนใดของที่ดินของการถไฟแห่งประเทศไทย รวมทั้งการบุกรุก ยึดถือครอบครองทำประโยชน์และออกเอกสารสิทธิทับซ้อนในที่ดินของการรถไฟของแต่ละรายนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด
รฟท.ส่งเอกสารมาประกอบการดำเนินคดีเพียงเอกสารตามบัญชี เอกสารแนบท้าย ซึ่งเป็นเอกสารเกี่ยวกับกฎหมายของ รฟท. คำสั่งแต่งตั้งผู้มีอำนาจ สำเนาพิพากษาศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลปกครองกลาง และเอกสารเกี่ยวกับคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน
ในการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามประมวลกฎหมายที่ดิน และคำสั่งยุติเรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน รวมทั้งหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของกรมที่ดิน โดยไม่มีข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับบุคคลที่ประสงค์จะให้ฟ้อง และการกระทำของบุคคลดังกล่าวที่เป็นการโต้เเย้งสิทธิของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรายละเอียดข้อเท็จจริง และเอกสารหลักฐานที่จำเป็นต่อดำเนินคดี
@รฟท.ไม่รวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน
จึงเป็นการส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการดำเนินคดี โดยไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน ไม่คำนึงถึงหลักเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เม.ย.2561 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี พ.ศ.2561 ข้อ 21 ที่กำหนดให้ หน่วยงานของรัฐที่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิเเละหน้าที่เกี่ยวกับเอกชนในทางแพ่งให้ส่งเรื่องให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด หรือพนักงานอัยการที่มีหน้าที่และอำนาจดำเนินคดีเรื่องนั้นโดยหน่วยงานของรัฐจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน
โดยทางหนังสือของอัยการยังระบุด้วยว่า แม้หนังสือของท่านจะแจ้งว่ารายละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้ถือเอกสารสิทธิและลักษณะการใช้ประโยชน์ของที่ดินแต่ละแปลงนั้น รฟท. ได้รวบรวมและจัดทำบัญชีรายละเอียดส่งมอบให้ต่อไปนั้น ก็เป็นเรื่องที่ท่านควรดำเนินการรวบรวมข้อเท็จจริง
และเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้ครบถ้วนก่อนที่จะส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินคดี
@แต่ละกรณีควรมีคำพิพากษาเพิกถอนยุติก่อน
อีกทั้งเรื่องที่ขอให้พนักงานอัยการดำเนินคดีต่อบุคคลต่าง ๆ ที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยึดถือครอบครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยมีจำนวนมากหลายราย ซึ่งมูลความแห่งคดีไม่เกี่ยวข้องกัน การถไฟแห่งประเทศไทยก็ไม่อาจส่งเรื่องรวมกันมาเพื่อดำเนินคดีในเรื่องเดียวกันได้เพราะเป็นกรณีที่ต่างคนต่างกระทำที่เป็นการโต้แย้งสิทธิ หรือที่ต่างคนต่างพิพาทกรรมสิทธิกับประเทศไทย ที่จะต้องพิสูจน์ในศาลให้เห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าบุคคลในเอกสารสิทธิเป็นรายคดีไป และการส่งเรื่องให้ดำเนินคดีจะต้องแยกเป็นรายคดีเช่นกัน ซึ่งแต่ละราย/เรื่องจะต้องมีข้อเท็จจริงเป็นยุติชัดเจนว่าที่ดินพิพาทของแต่ละบุคคล มีการออกเอกสารสิทธิทับช้อนกับที่ดิน รฟท.อันเป็นที่ดินของรัฐ เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนเอกสารสิทธิ และขับไล่ตลอดจนชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายคดี จึงไม่อาจส่งเรื่องให้พนักงานอัยการดำเนินคดีมารวมในเรื่องเดียวกัน
จากการที่ท่านส่งเอกสารหลักฐานเพื่อขอให้ดำเนินคดีบุคคลจำนวนมากรวมกันเรื่อง เดียวกัน โดยไม่มีข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับบุคคลที่ประสงค์จะให้ดำเนินคดี และข้อเท็จจริงอันการกระทำที่เป็นการโต้แย้งสิทธิของ รฟท.รวมกันมาในลักษณะดังกล่าวพนักงานอัยการจึงไม่อาจรับเรื่องไว้ดำเนินการได้
@แนะรฟท.รวบรวมข้อเท็จจริง 9 ประเด็น
เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และคุ้มครองสิทธิของประชาชน และการดำเนินคดีมีความถูกต้อง ไม่ล่าช้า ประกอบกับเรื่องนี้ปรากฎเป็นที่ดินของรัฐเพื่อกิจการของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่สามารถนำมาใช้เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนทั่วไปได้ มีผู้ครอบครองจำนวนมาก บางคนเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เป็นเรื่องประชาชนให้ความสนใจ สื่อมวลชนเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง เเละ รฟท.มีข้อขัดแย้งกับกรมที่ดินในการเพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน การดำเนินต้องกระทำอย่างละเอียดรอบคอบ รวบรวมแอกสารหลักฐานครบถ้านเป็นอย่างยิ่ง
จึงส่งเรื่องคืนมายังท่านตามเอกสาร เพื่อให้ท่านดำเนินเรื่องการขอให้ดำเนินคดีเป็นรายคดี/เรื่อง และขอแนะนำว่า แต่ละเรื่องจะต้องรวบรวมข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานต่างๆที่เป็นยุติให้ชัดเจน ดังนี้
1.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ประวัติ ความเป็นมา ที่ตั้ง อาณาเขตหรือแนวเขต ที่ดินของรัฐเพื่อใช้ในกิจการของ รฟท.(บริเวณเขากระโดง)
2.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับบุคคลที่ รฟท.ประสงค์จะให้ดำเนินคดี ว่าเป็นผู้ใด
มีที่อยู่ที่ใด เป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองทำประโยชน์แปลงใดบ้าง แต่ละแปลงอยู่บริเวณส่วนใดของที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยจัดทำแผนที่แสดงตำแหน่งที่ดินพิพาทกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ชัดเจน
3.ข้อเท็จจริงของการโต้แย้งสิทธิ เช่น การบุกรุก ยึดถือครอบครอง ลักษณะการครอบครองทำประโยชน์ ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด โดยให้ถ่ายภาพที่ดินมาประกอบการพิจารณาด้วย
4.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยชอบทับซ้อนที่ดินของ รฟท.มีการออกเอกสารสิทธิตั้งแต่เมื่อใด อย่างไร เเละ รฟท.มีการคัดค้านการออกเอกสารสิทธินั้นหรือไม่ อย่างไร
5.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการแจ้งให้บุคคลดังกล่าวออกจากที่ดินพิพาท รฟท.ได้เคยดำเนินการหรือไม่ อย่างไร
6.รฟท.เคยขอให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิของบุคคลดังกล่าวหรือไม่อย่างไร
7.หากประสงค์เรียกค่าเสียหาย รฟท.ได้รับความเสียหายจากการกระทำของบุคคลดังกล่าวอย่างไร จำนวนเท่าใด
8.ความประสงค์ของ รฟท.ที่ขอให้พนักงานอัยการดำเนินคดี เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องอย่างไร เช่น เพิกถอนเอกสารสิทธิ ขับไล่ รื้อถอน และชดใช้ค่าเสียหาย
9.สรุปข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยละเอียด ประกอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ที่จะใช้อ้างอิงในการพิจารณาดำเนินคดี
อนึ่ง ท่านสามารถส่งเรื่องให้พนักงานในการดำเนินคดีเป็นรายบุคคลดังกล่าวเมื่อรวบรวม ข้อเท็จจริงและเอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้วแยกเป็นรายไป โดยทยอยส่งเรื่องเมื่อเห็นว่าเรื่องใดมีข้อเท็จจริง
และเอกสารหลักฐานเพียงพอต่อการดำเนินคดีแล้ว ไม่จำต้องรอจัดส่งมาพร้อมกันทุกราย และการส่งเรื่องให้พนักงานอัยการว่าต่างดำเนินคดีแพ่ง เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้าสามารถส่งเรื่องที่สำนักงานอัยการจังหวัดที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้โดยตรงไม่จำเป็นต้องส่งไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเอกสารที่ท่านส่งมาประกอบการดำเนินคดีคือหนังสือกรมที่ดิน เรื่องแจ้งผลการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ลงวันที่ 13 ม.ค.2568 ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินได้แจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ กรณีที่รฟท.อุทธรณ์คำสั่งของ อธิบดีกรมที่ดินที่เห็นชอบกับการไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนกับที่ดินของ การรถไฟแห่งประเทศไทยและมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง โดยผลของการวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ที่ให้ยุติเรื่องชอบแล้ว และแจ้งให้ รฟท.ทราบว่า หากประสงค์จะโต้แย้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ จะต้องฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายใน 90วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์นั้น ขอแนะนำว่าว่า หากท่านประสงค์จะโต้แย้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เป็นเรื่องที่ท่านจะต้อง ไปดำเนินการอีกส่วนหนึ่งต่อศาลปกครองภายใน90วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวต่อไป จึงเรียนมาเพื่อทราบและดำเนินการต่อไป