xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อชาวบ้านเป็นเจ้าของตลาด บทพิสูจน์ CBT ไทยที่ไม่ต้องพึ่งงบรัฐ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงมากขึ้น เพราะการท่องเที่ยวไม่ใช่เพียงกิจกรรมพักผ่อนหรือการสร้างรายได้ แต่ยังสะท้อนถึงการจัด การชุมชน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรม

การท่องเที่ยวแบบ Community-Based Tourism (CBT) ไม่ใช่เรื่องใหม่ หัวใจของความสำเร็จคือการหาอัตลักษณ์ชุมชนให้ได้ "อัตลักษณ์ไม่ได้มาจากแค่ทรัพยากรในชุมชนอย่างเดียว แต่อาจมาจากจิตวิญญาณของคนในชุมชน ทัศนคติ หรือวิถีชีวิต นี่คือสิ่งที่ต้องดึงออกมาสื่อสารให้ได้ถ้าจะทำ CBT" ดร.ศิวศักดิ์ ปานสุขุม อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025)

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรม หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่สิ่งที่จะทำให้การท่องเที่ยวอยู่รอดอย่างแท้จริง คือการพัฒนาในแบบที่ "ชุมชนเป็นเจ้าของ" และพึ่งพาตนเองได้

ในงาน SX2025 มีการนำเสนอ 4 กรณีศึกษาจาก พัทลุง ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี ซึ่งสะท้อนมิติของความยั่งยืนในมุมที่แตกต่างกัน


พัทลุง: จากวัชพืชสู่พืชเศรษฐกิจ

จังหวัดพัทลุงโดดเด่นด้วยวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิม กรณีศึกษาจาก Varni Craft แสดงให้เห็นการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้ว-งานสานกระจูด พืชท้องถิ่นที่เคยถูกมองว่าเป็นวัชพืช

"จากเสื่อกระจูดใบละร้อย เราพัฒนาให้กลายเป็นกระเป๋าที่ขายได้หลักพัน" มนัทพงศ์ เซ่งฮวด ผู้ก่อตั้ง Varni Craft กล่าว เขาตัดสินใจกลับบ้านเกิดเพื่อชุบชีวิตหัตถกรรมพื้นถิ่นที่กำลังสูญหาย ด้วยการต่อยอดดีไซน์และงานปัก กระเป๋ากระจูดกลายเป็นสินค้าแฟชั่นร่วมสมัยที่ส่งออกไปฝรั่งเศส สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศ ความสำเร็จไม่ได้หยุดแค่สินค้า Varni Craft เปิดบ้านเป็นศูนย์การเรียนรู้ ให้นักท่องเที่ยวมาเรียนสานกระจูด ทำเวิร์กชอป และซึมซับวิถีชีวิตท้องถิ่น ต่อมาขยายสู่ Varni Stay โฮมสเตย์ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากกระจูดทั้งหมด พร้อมโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น ล่องเรือชมควายน้ำในทะเลน้อย ชมบัวแดงนับล้านดอก และถอนกระจูดกับชาวบ้าน

แต่เส้นทางไม่ราบรื่น มนัทพงศ์ยอมรับว่าช่วงแรกหาช่างสานที่มีฝีมือยากมาก "เราต้องฟื้นฟูทักษะคนรุ่นเก่าที่เลิกสานไปนานแล้ว และสอนคนรุ่นใหม่ที่ไม่อยากทำงานหนัก" นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญการแข่งขันจากสินค้าจีนราคาถูก ทำให้ต้องสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยดีไซน์และการบอกเล่าเรื่องราวอย่างต่อเนื่อง

ปทุมธานี: เมื่อเยาวชนเป็นตัวเชื่อม

ชุมชนคลอง 3 จังหวัดปทุมธานี แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวชุมชนสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่และการศึกษาชุมชนนี้เริ่มพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2561 จากโครงการ OTOP นวัตวิถี โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรอินทรีย์ นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้กิจกรรมหลากหลาย เช่น การทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ งานหัตถกรรมพื้นบ้าน และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร

สิ่งที่ทำให้ชุมชนนี้แตกต่างคือบทบาทของนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่เข้ามาช่วยออกแบบ One Day Trip สร้าง Storytelling และพัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ ทำให้ชุมชนปรับตัวหลังวิกฤตโควิด-19 และขยายฐานนักท่องเที่ยวได้กว้างขึ้น

"ในห้องเรียนเราได้เรียนแต่ทฤษฎี แต่การลงพื้นที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเจน ได้คุยกับพ่อแม่ชาวบ้าน เพิ่ม soft skills คนรุ่นใหม่ก็สนใจในเรื่องท่องเที่ยวชุมชนและสินค้าหัตถกรรมมากขึ้น" สรศักดิ์ กลับวิลา นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว

รุ่งนภา แก้วธรรม กำนันตำบลคลองสาม และประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง หมู่ที่ 16 เล่าว่า ในช่วงแรกชาวบ้านยังไม่กล้าพบปะนักท่องเที่ยว "แต่พอได้สัมผัสจากเด็กๆ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพิ่มประสบการณ์ ตอนนี้ชาวบ้านรับแขกได้เอง และพึ่งพาตนเองได้"

ความท้าทายที่เผชิญ คือการดึงคนรุ่นใหม่กลับมาอย่างต่อเนื่อง อัจฉรา ศรีลาชัย อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชี้ว่ายังมีสิ่งที่ต้องพัฒนา เช่น ทักษะภาษาอังกฤษ "อาจเริ่มจากการสื่อสารง่ายๆ เพราะกำนันรุ่งนภายอมรับว่าชาวบ้านมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ทำให้อาจขายของไม่ได้"

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องการพึ่งพามหาวิทยาลัยมากเกินไป "พอโครงการจบ นักศึกษากลับไป ชุมชนต้องดูแลตัวเองได้" ทำให้ต้องมีการถ่ายทอดความรู้และสร้างทีมงานรุ่นใหม่ในชุมชนให้แข็งแรง


ราชบุรี: Zero Waste ที่ทำได้จริง

ตลาดโอ๊ะป่อย ชุมชนท่ามะขาม อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นกรณีศึกษาที่โดดเด่น ชื่อ "โอ๊ะป่อย" มาจากภาษากะเหรี่ยง แปลว่า "พักผ่อน" และที่นี่กลายเป็นพื้นที่พักใจของทั้งนักท่องเที่ยวและคนในชุมชน

สิ่งที่ทำให้ตลาดแตกต่างคือการผสาน ศรัทธา–สิ่งแวดล้อม–ชุมชน เข้าด้วยกัน ไฮไลต์สำคัญคือกิจกรรมตักบาตรพระบนแพล่องน้ำ ซึ่งกลายเป็นภาพจำที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วประเทศ ตลาดยังยึดแนวคิด Zero Waste Market มีการแยกขยะ รีไซเคิล และใช้ระบบกองทุนชุมชน โดยไม่พึ่งงบประมาณจากภาครัฐ

"เจ้าของกิจการเป็นคนในชุมชน ไม่มีคนจากพื้นที่อื่น มีคนในพื้นที่กลับมาเปิดคาเฟ่ เปิดที่พัก" ผู้ใหญ่บี-ภัทรพงศ์ วงศ์กิจเกษม ประธานตลาดโอ๊ะป่อย กล่าว ทุกคนในตลาดมีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง ทำให้ทุกมุมกลายเป็นจุดเช็กอินได้เองโดยไม่ต้องสร้างฉากเสริม

ผู้ใหญ่บีภูมิใจที่ได้สืบสานวัฒนธรรมกะเหรี่ยง อย่างการแต่งกายและภาษาภายในตลาด ที่สำคัญคือการจัดการที่เข้มแข็งและมีกติกากลางที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน

แต่ความท้าทายก็มี โดยเฉพาะการจัดการความคาดหวังและการแข่งขันภายใน "มีคนอยากเข้ามาขายของเยอะ แต่พื้นที่จำกัด บางคนรู้สึกไม่เป็นธรรม" ภัทรพงศ์ กล่าว รวมถึงการจัดการขยะในช่วงเทศกาลที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา

เพชรบุรี: เมื่อลูกหลานกลับบ้าน

ตลาดจามจุรี บ้านถ้ำเสือ จังหวัดเพชรบุรี เป็นตลาดริมน้ำที่เริ่มจากความสมัครใจของชุมชน โดยใช้ที่ดินส่วนตัวทำตลาดร่วมกัน ชุมชนที่นี่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วันแรก ไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปขยะเปียกเป็นปุ๋ย การแยกขยะอย่างเป็นระบบ ไปจนถึงการลดผลกระทบต่อธรรมชาติ ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นถูกนำมาพูดคุยและแก้ไขกันทุกสัปดาห์ ทำให้เกิด "วัฒนธรรมองค์กร" ที่เข้มแข็ง

รายได้จากตลาดไม่ได้ทำให้คนเพียงอยู่รอด แต่ยังดึงเยาวชนกลับบ้าน ช่วยครอบครัวดูแลร้านค้า และปลูกฝังความรักในท้องถิ่นให้รุ่นใหม่เห็นคุณค่าของชุมชน

"เราอยากให้คนรุ่นใหม่กลับมา เวลา 20-30 ปีที่ผ่านมา เราได้ทำอะไรหรือยังให้เขาอยากกลับบ้าน อย่างพ่อแม่ที่เปิดร้าน ก็ได้ลูกหลานกลับมาในวันหยุดมาช่วยพ่อแม่ที่ร้าน เราก็ได้ลูกหลานกลับมา" สุเทพ พิมพ์ศิริ ผู้บุกเบิกตลาดจามจุรี ภายใต้วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ (โฮมสเตย์บ้านถ้ำเสือ) กล่าว


ปทุมธานี: เมื่อเยาวชนเป็นตัวเชื่อม

ชุมชนคลอง 3 จังหวัดปทุมธานี แสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวชุมชนสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่และการศึกษาชุมชนนี้เริ่มพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวตั้งแต่ปี 2561 จากโครงการ OTOP นวัตวิถี โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรอินทรีย์ นักท่องเที่ยวสามารถเรียนรู้กิจกรรมหลากหลาย เช่น การทำผ้ามัดย้อมจากสีธรรมชาติ งานหัตถกรรมพื้นบ้าน และการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร

สิ่งที่ทำให้ชุมชนนี้แตกต่างคือบทบาทของนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ที่เข้ามาช่วยออกแบบ One Day Trip สร้าง Storytelling และพัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ ทำให้ชุมชนปรับตัวหลังวิกฤตโควิด-19 และขยายฐานนักท่องเที่ยวได้กว้างขึ้น

"ในห้องเรียนเราได้เรียนแต่ทฤษฎี แต่การลงพื้นที่ทำให้เราเห็นภาพชัดเจน ได้คุยกับพ่อแม่ชาวบ้าน เพิ่ม soft skills คนรุ่นใหม่ก็สนใจในเรื่องท่องเที่ยวชุมชนและสินค้าหัตถกรรมมากขึ้น" สรศักดิ์ กลับวิลา นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าว

รุ่งนภา แก้วธรรม กำนันตำบลคลองสาม และประธานศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง หมู่ที่ 16 เล่าว่า ในช่วงแรกชาวบ้านยังไม่กล้าพบปะนักท่องเที่ยว "แต่พอได้สัมผัสจากเด็กๆ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เพิ่มประสบการณ์ ตอนนี้ชาวบ้านรับแขกได้เอง และพึ่งพาตนเองได้"

ความท้าทายที่เผชิญ คือการดึงคนรุ่นใหม่กลับมาอย่างต่อเนื่อง อัจฉรา ศรีลาชัย อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และการจัดการการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชี้ว่ายังมีสิ่งที่ต้องพัฒนา เช่น ทักษะภาษาอังกฤษ "อาจเริ่มจากการสื่อสารง่ายๆ เพราะกำนันรุ่งนภายอมรับว่าชาวบ้านมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร ทำให้อาจขายของไม่ได้"

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเรื่องการพึ่งพามหาวิทยาลัยมากเกินไป "พอโครงการจบ นักศึกษากลับไป ชุมชนต้องดูแลตัวเองได้" ทำให้ต้องมีการถ่ายทอดความรู้และสร้างทีมงานรุ่นใหม่ในชุมชนให้แข็งแรง


อุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน

ดร.ปิรันธ์ ชิณโชติ อดีตนายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี สรุปว่า ปัญหาย่อมมีเพราะยังมีช่องว่างในชุมชน และคนที่ไม่เข้าใจกฎระเบียบ

"คนในพื้นที่แรกๆ อาจอึดอัดกับกฎกติกา แต่เราต้องมีธรรมนูญที่ชัดเจนเพื่อความยั่งยืน เพราะการทำตลาดคือเน้นการมีส่วนร่วม ต้องสร้างการเอื้อต่อกัน ไม่ใช่แข่งขันกัน"

อุปสรรคหลักที่ทั้งสี่ชุมชนเผชิญ ได้แก่

1. การสืบทอดทักษะและคนรุ่นใหม่ - คนหนุ่มสาวมักเลือกไปทำงานในเมือง เห็นว่าได้เงินเร็วกว่า ทำให้ต้องสร้างแรงจูงใจทั้งรายได้และความภาคภูมิใจในท้องถิ่น

2. การพึ่งพาแหล่งสนับสนุนภายนอก - หลายชุมชนพึ่งพามหาวิทยาลัยหรือภาครัฐในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเสี่ยงต่อความไม่ยั่งยืนหากแหล่งสนับสนุนถอนตัว

3. การจัดการความคาดหวังภายในชุมชน - เมื่อเห็นความสำเร็จ คนจำนวนมากอยากเข้าร่วม ทำให้เกิดแรงกดดันในการจัดสรรพื้นที่และผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม

4. ภาระการจัดการสิ่งแวดล้อม - ความสำเร็จนำมาซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องคิดระบบจัดการขยะ จราจร และการรองรับที่ไม่ทำลายบรรยากาศดั้งเดิม


ถอดบทเรียนจากสี่ชุมชน

แม้พัทลุง ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี จะมีวิธีการพัฒนาและเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดสะท้อนหัวใจของการท่องเที่ยวยั่งยืนร่วมกัน

1. ชุมชนเป็นเจ้าของ – คนในพื้นที่ต้องเป็นผู้ขับเคลื่อน ไม่ใช่เพียงผู้ตาม

2. สิ่งแวดล้อมคือฐานราก – การจัดการที่คำนึงถึงธรรมชาติทำให้การท่องเที่ยวมีคุณค่าแท้จริง

3. การส่งต่อสู่รุ่นใหม่ – เยาวชนและคนรุ่นใหม่คือตัวเชื่อมอนาคต

4. การพึ่งพาตนเองและเครือข่ายสนับสนุน – การพึ่งพาตนเองทำให้ชุมชนเข้มแข็ง แต่เครือข่ายจากภายนอกช่วยต่อยอดได้

ทั้ง 4 กรณีศึกษาแสดงให้เห็นว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เพียงคำสวยหรู แต่คือการทำงานจริงที่เกิดขึ้นแล้วในหลายชุมชนของไทย พัทลุง ปทุมธานี ราชบุรี และเพชรบุรี พิสูจน์ว่าความยั่งยืนไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เกิดจากการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น สิ่งแวดล้อม ศรัทธา และนวัตกรรมเข้าด้วยกัน

ท้ายที่สุด การเดินทางที่ยั่งยืนคือการเดินทางที่ทุกฝ่าย นักท่องเที่ยว ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ต่างได้รับประโยชน์และเติบโตไปพร้อมกัน

พบกับแรงบันดาลใจเหล่านี้ได้ ในงาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 (SX2025) ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 5 ตุลาคม 2458 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)

ติดตามข่าวสารและกิจกรรม SX ได้ทาง FB : SUSTAINABILITY EXPO , www.sustainabilityexpo.com และแอดไลน์ @sxofficial เพื่อร่วมสนุกไปกับกิจกรรมการสะสมแต้ม ลุ้นรับรางวัลมากมาย
กำลังโหลดความคิดเห็น