xs
xsm
sm
md
lg

CRC-รีนาเชนเต-เซ็นทรัล เปิดดีลทำไมต้องซื้อขาย สุดท้ายก็ “จิราธิวัฒน์”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด – เปิดเหตุผลดีลยักษ์ ทำไม CRC ยอมปล่อยขาย ห้างหรู รีนาเชนเต ให้ กลุ่มเซ็นทรัล ตามข้อเสนอ ด้วยมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านบาท วิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย แต่สุดท้ายก็ยังเป็นสมบัติของ “จิราธิวัฒน์” อยู่ดี


เกิดดีลใหญ่ในวงการค้าปลีกของไทยกับสินทรัพย์ที่อยู่ในต่างประเทศ เมื่อบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ได้รับข้อเสนอจาก บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS หรือ Central Group) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ คือ การเสนอซื้อกิจการห้างสรรพสินค้ารีนาเซนเต โดยการซื้อหุ้นทั้งหมดร้อยละ 100 ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ CRC Holland B.V. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท และถือหุ้นทั้งหมดในกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจห้างสรรพสินค้ารีนาเซนเตในประเทศอิตาลี ที่มูลค่าเท่ากับ 250 ล้านยูโร หรือประมาณ 9,384 ล้านบาท และรับโอนสัญญาเงินกู้และชำระคืนเงินกู้จากผู้ถือหุ้นที่ Central Retal Investment Limited ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ให้กู้แก่ CRC Rinascente S.p.A. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CRC Holland B.V.


CRC ขาย รีนาเชนเต ให้กงสีกำไร 6 พันล.

ล่าสุดของดีลนี้คือ เมื่อวันที่ 19 กันยายน นายปเนต มหรรฆานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า CRC ได้รับข้อเสนอจาก บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS หรือ Central Group) ขอเสนอซื้อห้างสรรพสินค้า Rinascente ในประเทศอิตาลี โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งประกอบไปด้วยกรรมการที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้พิจารณาข้อเสนอนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ

นายปเนต กล่าวว่า การตัดสินใจขายธุรกิจในอิตาลีสอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เซ็นทรัล รีเทล ได้เคยประกาศไว้ ในการปรับพอร์ตธุรกิจของ CRC โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในตลาดหลัก คือ ประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในการเติบโตสูง

โดยบริษัทมีแผนที่จะลงทุนและขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังเปิดโอกาสให้นำเงินที่ได้รับจากการขายครั้งนี้ไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัท รวมถึงการทำ M&A (Mergers and Acquisitions) เพื่อมาเสริมตลาดหลักในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต ที่ผ่านมาบริษัทได้รับโอกาสพิจารณาการลงทุนเพิ่มในยุโรปหลายครั้ง แต่เนื่องจากต้องใช้เงินทุนสูง ซึ่งจะไปดึงเงินลงทุนจากตลาดหลักในประเทศไทยและเวียดนาม จึงตัดสินใจไม่เข้าลงทุน

ทั้งนี้ข้อเสนอซื้อห้างสรรพสินค้า Rinascente จากกลุ่มเซ็นทรัล ถือเป็นโอกาสที่ดีของเซ็นทรัล รีเทล ในการขาย Non-Strategic Operating Asset ในราคาที่เหมาะสม โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 14.7 พันล้านบาท โดยเงินที่ได้รับจะนำไปบริหารจัดการในการสร้างการเติบโต และเสริมแกร่งสถานะทางการเงินของบริษัท

นอกจากนี้ในเบื้องต้น CRC มีแผนพิจารณานำเงินส่วนที่เหลือ 7.7 พันล้านบาท ไปจ่ายเป็นเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น คิดเป็น 1.28 บาทต่อหุ้น โดยการขายครั้งนี้ CRC คาดว่าจะได้กำไรหลังหักภาษีประมาณ 6 พันล้านบาท


เปิดเหตุผล CRC ขายรีนาเชนเต

นอกจากเหตุผลข้างต้น ธุรกรรมดังกล่าวยังเป็นประโยชน์ต่อ CRC ดังนี้

1. CRC สามารถรับรู้ผลตอบแทนเป็นเงินสดจากการลงทุนใน Rinascente ได้ทันทีในราคาขายที่เหมาะสม โดยไม่ต้องรอเงินปันผลในอนาคต โดยมีอัตราส่วน P/E ที่ประมาณ 14.4 เท่า และ EV/EBITDA ที่ประมาณ 7.8 เท่า สูงกว่าบริษัทที่ประกอบธุรกิจค้าปลีกในยุโรปและในประเทศที่พัฒนาแล้ว และสอดคล้องกับมูลค่าที่ฝ่ายจัดการร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินประเมินด้วยวิธี DCF: Discounted Cash Flow (การประเมินมูลค่าบริษัทด้วยกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต)

2. CRC ได้ราคาขายสูงกว่าต้นทุนที่บริษัทเข้าลงทุนในปีค.ศ. 2018 อย่างมาก คิดเป็นกำไรหลังหักภาษีประมาณ 6 พันล้านบาท (กำไรสุดท้ายขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนและสินทรัพย์สุทธิของ Rinascente ณ วันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์)

3. เสริมสร้างความแข็งแกร่งทางฐานะการเงินของ CRC ด้วยการนำเงินสดไปคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ทำให้ภาระหนี้สินของบริษัทลดลงประมาณ 5.3 พันล้านบาท

4. ธุรกรรมนี้จะทำให้ CRC สามารถจ่ายปันผลสูงถึง 7.7 พันล้านบาท คิดเป็น 1.28 บาทต่อหุ้น (จ่ายครั้งแรกจำนวนประมาณ 4.2 พันล้านบาท ภายหลังจากที่ CRC ได้รับเงินสดสุทธิจากธุรกรรม (คาดว่าภายในปี 2568 นี้) และครั้งที่สองจำนวนประมาณ 3.5 พันล้านบาท พร้อมกับการจ่ายเงินปันผลประจำปีจากผลการดำเนินงานปี 2568) โดยจำนวนเงินดังกล่าวเป็นแผนพิจารณาในเบื้องต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ และ/หรือที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาต่อไป ภายหลังจากที่ CRC ได้รับเงินสดสุทธิจากธุรกรรมในครั้งนี้

5. ช่วยลดภาระและความเสี่ยงของ CRC ในการดูแล ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ในอิตาลี ที่มีความแตกต่างจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างมาก รวมถึงลดสัดส่วนรายได้ของ CRC ที่ถูกเก็บภาษีสูงในอัตรา Effective Tax Rate ประมาณ 30% เทียบกับ CRC ที่เสียภาษีในอัตรา Effective Tax Rate ประมาณ 23%

6. ภายหลังจากธุรกรรมนี้ CRC จะยังคงสามารถรับประโยชน์จากการร่วมมือทางธุรกิจกับ Rinascente ได้เหมือนเดิม


ทั้งนี้มูลค่าขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ ส่วน P/E and EV/EBITDA สำหรับช่วงสิบสองเดือนที่ผ่านมา P/E คำนวณจาก Adjusted Net Profit ซึ่งรวมผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาของสิทธิการใช้ทรัพย์สิน (ROU) ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและดอกเบี้ยจ่ายจากหนี้สินตามสัญญาเช่าที่ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสำหรับปีค.ศ. 2026 ประมาณ 5 ล้านยูโร (หลังหักภาษี) หรือราว 190 ล้านบาท อันเกิดจากการต่อสัญญาเช่า 2 สาขา ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568

การซื้อขายครั้งนี้ มองไปแล้ว ก็ถือเป็นการจัดทัพธุรกิจของตระกูลหรือจัดพอร์ตโฟลิโอ ให้มีความชัดเจน และไม่ซ้ำซ้อนกัน

CRC เดินเกมรุกตลาดที่ตัวเองมีความเชี่ยวชาญคือ ตลาดไทย กับ เวียดนาม

ส่วนกลุ่มเซ็นทรัลในนามของห้างเซ็นทรัลก็ปักธงตลาดยุโรป ด้วยการบริหารจัดการห้างหรูในยุโรปทั้งหมดในระบบเดียวกันได้ จากเดิมที่มีเพียงอิตาลีเพียงตลาดเดียวที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การบริหารของ HCDS หรือ Central Group เนื่องจากในช่วงแรกที่ซื้อกิจการในอิตาลีนั้น CRC ยังไม่ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ

ดังคำกล่าวของ นายปเนต ที่ว่า การตัดสินใจขายธุรกิจในอิตาลีสอดคล้องกับนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจที่เซ็นทรัล รีเทล ได้เคยประกาศไว้ ในการปรับพอร์ตธุรกิจของ CRC โดยมุ่งเน้นการขยายธุรกิจในตลาดหลัก คือ ประเทศไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีศักยภาพในการเติบโตสูง


ปัจจัยหลักที่ CRC มุ่งเน้นตลาดไทยกับเวียดนามเพราะ แนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคของไทยและเวียดนามมีความโดดเด่นเหนือกว่า การที่ไทยและเวียดนามเป็นตลาดซึ่งสร้างรายได้เกือบ 95% และการดำเนินธุรกิจในไทยและเวียดนามมีความซับซ้อนน้อยกว่า และมีต้นทุนภาษีที่ต่ำกว่า

แต่ในอีกมุมก็คือ จิราธิวัฒน์หรือกลุ่มเซ็นทรัลต้องการเข้ามามีบทบาทและเป็นเจ้าของห้างหรูที่มีศักยภาพอย่างมากของรีนาเชนเต และอย่างน้อยที่สุดธุรกิจห้างหรูนี้ก็ยังอยู่ในมือจิราธิวัฒน์เท่านั้น เพราะไม่อยู่ในตลาดหุ้น

ห้างรีนาเชนเต เคยสร้างยอดขายเกินกว่าช่วงก่อนโควิด และสร้างนิวไฮทะลุ 1,000,000,000 ยูโร (1 พันล้านยูโร) ในปี 2566 ซึ่งเติบโตกว่า 17% จากปีก่อนหน้า และ EBITDA เติบโตกว่า 70% โดยเฉพาะสาขาแฟลกชิปสโตร์ Rome Via del Tritone สร้างยอดขายโตถึง 17% สาขา Milan โต 19% และ Rome Piazza Fiume โต 35% ภายหลังจากการรีโนเวท

แต่ดีลนี้ก็ส่งผลกระทบต่อCRC บ้างเช่นกัน สะท้อนได้จากวันที่ที่มีข่าวการซื้อขายกันนั้น หุ้นของ CRC ร่วงไปถึง 8.13% ก็เพราะว่า ปัจจัยหนึ่งมาจาก ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับ CRC เมื่อไม่มี รีนาเชนเตแล้ว ย่อมสูญเสียเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ที่เป็นกำไรที่ควรจะได้เ่หมือนเดิม

เพราะศักยภาพของแบรนด์รีนาเชนเตและความสามารถในการทำกำไรที่ดีนั้นหลุดลอยไปแล้ว แต่ก็แลกมากับการได้ประโยชน์ 6 ประเด็นหลัก ตามที่นายปเนตกล่าวเอาไว้

สำหรับผลประกอบการของ CRC รวมครึ่งปีแรก 2568 อยู่ที่ 131,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% และมีกำไรสุทธิหลังรายการปรับปรุง 3,813 ล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน ส่วนไตรมาสที่ 2/2568 สร้างรายได้ 62,644 ล้านบาท ลดลง1% และมีกำไรสุทธิหลังรายการปรับปรุงอยู่ที่ 1,349 ล้านบาท ลดลง 16% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปีที่แล้ว


รีนาเชนเต อิตาลี อยู่นอกกงสี

หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า ห้างรีนาเชนเต ก็ของ เซ็นทรัลอยู่แล้ว ทำไมถึงต้องมีการซื้อขายกันอีก

อันที่จริงแล้ว ความเป็นเจ้าของธุรกิจห้างสรรพสินค้าในต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรปนั้น มีการแยกชัดเจน ระหว่าง ของกงสี กับ ของที่ไม่ใช่กงสี แตกต่างกันที่วิธีการลงทุน กล่าวคือ

1. ตลาดอิตาลี บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC) เป็นผู้ลงทุนเจ้าของ (100%) ในส่วนของ บริษัทที่บริหารห้าง สรรพสินค้ารีนาเซนเตทั้ง 9 สาขา ส่วนกลุ่มเซ็นทรัล เป็นเจ้าของ 100% เฉพาะในส่วนที่บริษัทถือครองและบริหารอาคารและที่ดิน จำนวน 2 สาขา คือ สาขาโรม ทริโทเน่ (Rome Tritone) และสาขาตูริน (Turin)

ห้าง ลา รีนาเชนเต้ (ในขณะนั้น) เป็นดีลแรกที่ของตระกูลจิราธิวัฒน์ ในการสยายปีกออกสู่ตลาดยุโรป เมื่อกว่า 14 ปีมาแล้ว ด้วยมูลค่าการเข้าซื้อกิจการกว่า 260 ล้านยูโร หรือประมาณ11,000 ล้านบาท และเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายอาณาจักรธุรกิจค้าปลีกห้างสรรพสินค้าในทวีปยุโรป จนกระทั่งวันนี้มีเครือข่ายห้างในทวีปยุโรปมากกว่า 40 แห่งใน 36 เมือง ใน 7 ประเทศ


2. ตลาดยุโรป ในส่วนนี้ถือเป็นการลงทุนส่วนตัวของกลุ่มตระกูลจิราธิวัฒน์ โดยการลงทุนใน 6 ประเทศ เป็นการลงทุนส่วนตัวไม่เกี่ยวข้องกับ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล จำกัด (มหาชน) (CRC) และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) แต่อย่างใด ประกอบด้วย

สหราชอาณาจักร มี ห้างสรรพสินค้าเซลฟริดเจส (Selfridges)

ประเทศเนเธอร์แลนด์ มี ห้างสรรพสินค้าดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf)

ประเทศไอร์แลนด์ มี ห้างสรรพสินค้าบราวน์ โทมัส (Brown Thomas) และ อาร์นอตส์ (Arnotts)

ประเทศเยอรมนี มี ห้างสรรพสินค้าคาเดเว (KaDeWe) กรุงเบอร์ลิน, โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) เมืองมิวนิก และอัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) เมืองฮัมบูร์ก

ประเทศเดนมาร์ก มี ห้างสรรพสินค้าอิลลุม (Illum)

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มี ห้างสรรพสินค้าโกลบุส (Globus) และ โกลบุสฟู้ดฮอลล์ (Globus Food Hall)


ทุกวันนี้ CRC เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯก็อาจจะกล่าวไม่ได้เต็มปากว่าเป็นของจิราธิวัฒน์ 100% แต่ในภาพใหญ่ของการถือหุ้นก็ยังคง จิราธิวัฒน์ เป็นสัดส่วนใหญ่

“ทั้งนี้ธุรกรรมดังกล่าวจะต้องถูกนำเสนอต่อผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติในวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน 2568 โดย CRC ได้มีการแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ (IFA) เพื่อให้ความเห็นอิสระเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรม และความเป็นธรรมของธุรกรรม ซึ่งจะนำเสนอต่อผู้ถือหุ้นเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในวันดังกล่าวต่อไป” นายปเนต กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ดีลนี้จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม สุดท้ายแล้ว ห้างรีนาเชนเต ก็ยังคงเป็นของ จิราธิวัฒน์ เหมือนเดิม

ขณะที่ห้างหรูกำไรงามอย่าง รีนาเชนเต ก็ไม่ได้อยู่ในกำมือของ ซีอาร์ซี ที่อยู่ในตลาดหุ้น แต่ไปอยู่ในมือของจิราธิวัฒน์แทนพร้อมกับผลประกอบการที่ดีของรีนาเชนเต






กำลังโหลดความคิดเห็น