xs
xsm
sm
md
lg

SCGD ชี้ศาลฎีกายกฟ้องคดี KIA อัดงบปีนี้ 2 พันล้านลุยพลังงานสะอาด-เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCGD เผยศาลฎีกาอินโดฯ ตัดสินยืนตามคำพิพากษาศาลสูงยกฟ้องคดีของ KIA ที่ฟ้องเอาผิดหน่วยงานรัฐ “นำพล” เผยปี 68 SCGD ตั้งงบลงทุน 2 พันล้านบาทลุยพลังงานสะอาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) เปิดเผยความคืบหน้ากรณีบริษัทย่อยของ SCGD ได้แก่ PT Keramika Indonesia Assosiasi Tbk (KIA) และ PT KIA KERAMIK MAS (KKM) ยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซีย เพื่อให้ยกเลิกการเรียกร้องที่อ้างว่า KIA มีหนี้เงินต่อหน่วยงานรัฐของอินโดนีเซีย และให้ยกเลิกการระงับการเข้าระบบจดแจ้งทางทะเบียนกับ Ministry of Law and Human Rights

ศาลฎีกาประเทศอินโดนีเซียได้ตัดสินยืนยันตามคำพิพากษาศาลสูงให้ยกฟ้องในส่วนคดีของ KIA ดังนั้น KIA จึงจะพิจารณาการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป

KIA และบริษัทย่อย ได้ดำเนินงานตามปกติตลอดมา โดยงบการเงินรวมสำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มียอดขายประมาณ 623 ล้านบาท EBITDA ประมาณ 11 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิประมาณ 16 ล้านบาท

นายนำพลกล่าวว่า ในปี 2568 SCGD มีประมาณการค่าใช้จ่ายในการลงทุนรวมกว่า 2,000 ล้านบาท โดยมีแผนใช้จ่ายในโครงการด้านพลังงานสะอาดและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ด้วยงบกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน และเสริมศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดยการลงทุนในโครงการด้านพลังงานทดแทนในปี 2567 ช่วยลดต้นทุนพลังงานได้แล้วกว่า 300 ล้านบาทต่อปี และสำหรับโครงการที่แล้วเสร็จในครึ่งปีแรกของปี 2568 คาดว่าจะลดต้นทุนพลังงานเพิ่มได้อีก 36 ล้านบาทต่อปี ขณะเดียวกัน การปรับโครงสร้างธุรกิจปรับใช้เทคโนโลยี ระบบดิจิทัล และระบบอัตโนมัติ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ช่วยลดต้นทุนรวมได้กว่า 60 ล้านบาทต่อปี

ในช่วงครึ่งแรกปี 2568 SCGD สามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์เพิ่มเพื่อผลิตไฟฟ้ารวม 41.4 เมกะวัตต์ คิดเป็น 12% ของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด และเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) เป็น 22% ของพลังงานความร้อน โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 46% ภายในปี 2573 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดความผันผวนของต้นทุนในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นับเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่นำมาใช้สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ การลดการปล่อยคาร์บอนกว่า 35% ในขอบเขตที่ 1 และ 2 จากปีฐาน 2563 เป็นผลจากการวางแผนระยะยาว การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการลงทุนด้านเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน

ส่วนกลยุทธ์การขยายตลาด SCGD ยังเดินหน้าเสริมศักยภาพการผลิตในประเทศกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่งเป็นทั้งฐานการผลิตและตลาดที่มีศักยภาพสูง ผ่านการลงทุนด้านพลังงานทดแทน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนต่อหน่วยและเพิ่มความได้เปรียบด้าน ESG ปัจจุบัน บริษัทมีรายได้จากต่างประเทศคิดเป็นประมาณ 36% ของรายได้รวม

ทั้งนี้ SCGD ได้เริ่มโครงการนำร่องติดตั้งระบบผลิตก๊าซจากเชื้อเพลิงชีวมวล (Biomass Gasifier) ที่โรงงานในเวียดนาม เพื่อทดแทนการใช้ถ่านหินเพิ่มเติมนอกเหนือจากการผลิตความร้อนจากพลังงานชีวมวล (Hot Air Generator) พร้อมแผนขยายโครงการไปยังฐานการผลิตอื่นในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน และลดต้นทุนในระยะยาวอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ ปรับปรุงระบบการผลิตต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีระบบดิจิทัล และระบบอัตโนมัติ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น ระบบตรวจสอบคุณภาพกระเบื้อง การแพกกระเบื้อง ระบบอัตโนมัติในกระบวนการผลิตสุขภัณฑ์ การพ่นเคลือบสี และการเคลื่อนย้ายชิ้นงาน รวมถึงระบบบริหารคลังสินค้า One WMS ที่ใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแม่นยำ ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนรวมได้กว่า 60 ล้านบาทต่อปี

SCGD ตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 ล่าสุด ณ ปี 2567 สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้แล้วกว่า 35% (เทียบกับปีฐาน 2563) โดยใช้ 2 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1. การลงทุนในโครงการใช้พลังงานทดแทน เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวล และ 2. การปรับโครงสร้างธุรกิจนำเอาเทคโนโลยีระบบดิจิทัล และระบบอัตโนมัติมาปรับใช้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และยกระดับการบริหารจัดการทั่วทั้งองค์กร


กำลังโหลดความคิดเห็น