ส.อ.ท.จับมือ มธ.เซ็นเอ็มโอยูร่วมพัฒนากำลังคนและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับสากลผ่านกิจกรรมร่วมในหลายมิติ ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร การวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรม
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จับมือลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการและการวิจัย (MOU) ณ โรงแรม อีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เพื่อร่วมพัฒนากำลังคนและนวัตกรรม ต่อยอดศักยภาพอุตสาหกรรมไทยสู่ระดับสากล ผ่านกิจกรรมร่วมในหลายมิติ ตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร การวิจัยและพัฒนา การฝึกอบรม รวมถึงการให้บริการทางวิชาการ
ภายใต้ความร่วมมือนี้ ส.อ.ท.และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จะดำเนินกิจกรรมสำคัญ ได้แก่ พัฒนาหลักสูตรด้านโภชนาการและนวัตกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ (Food for Longevity) โดยบูรณาการความรู้ร่วมกับคณาจารย์จากคณะสหเวชศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีศักยภาพสูง ตอบสนองต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอาหารและสุขภาพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและการมีอายุยืนอย่างมีสุขภาวะที่ดี
ฝึกงานและสหกิจศึกษาในรูปแบบ Problem-based Learning (PBL) เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ลงมือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสถานประกอบการ, วิจัยและพัฒนา (R&D) มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ตลอดจนนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ และบริการที่สอดรับกับแนวโน้มของผู้บริโภคยุคใหม่
จัดฝึกอบรมและเสริมศักยภาพบุคลากรในภาคธุรกิจอุตสาหกรรม ครอบคลุมหัวข้อที่หลากหลายตั้งแต่การบริหารจัดการ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้นวัตกรรม, ให้บริการวิชาการแก่สังคม ผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ การจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษากับภาคอุตสาหกรรม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญความท้าทายทั้งด้านการแข่งขัน เทคโนโลยี และการพัฒนาทักษะแรงงาน จึงจำเป็นต้องปรับตัวสู่เทคโนโลยีใหม่ เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และสร้างบุคลากรที่มีทักษะรอบด้าน
“การลงทุนด้านวิจัยและนวัตกรรม คือ หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ความต้องการแรงงานทักษะสูงจึงเพิ่มขึ้น เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)”
ขณะเดียวกัน ไทยยังมีศักยภาพด้านเทคโนโลยีและความหลากหลายทางชีวภาพที่ต่อยอดได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น พลาสติกชีวภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ เคมีชีวภาพ ชีวเภสัชกรรม อาหารแห่งอนาคตและเครื่องสำอาง โดยคาดว่าตลาดของเทคโนโลยีเหล่านี้จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในปี 2573
ดังนั้น ความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท.กับมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะช่วยพัฒนาหลักสูตรและการฝึกอบรมที่ตรงต่อความต้องการอุตสาหกรรมจริง สร้างบุคลากรคุณภาพและนวัตกรรมที่ต่อยอดได้ทั้งเชิงธุรกิจและสังคม
ส.อ.ท.ตระหนักดีว่าการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จะมีเพียงเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาเสริมอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีบุคลากรที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ สอดคล้องกับนโยบาย 4GO ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่มุ่งยกระดับผู้ประกอบการ SME ให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก
“ความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญในการยกระดับบุคลากรให้สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นผ่านหลักสูตร Reskill, Upskill และ New Skill เพื่อสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ สามารถพัฒนานวัตกรรม สอดรับกับความต้องการของโลกในปัจจุบันและอนาคต” นายเกรียงไกรกล่าว
ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ความสำคัญต่อการเชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการเข้ากับการปฏิบัติจริง ผ่านการออกแบบหลักสูตรที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคส่วนต่างๆ โดยหลักสูตรเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดผ่านการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะการฝึกงานและสหกิจศึกษาในรูปแบบ Problem-based Learning ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เผชิญปัญหาจริง คิด วิเคราะห์ และลงมือแก้ไขอย่างเป็นระบบ
ความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับ ส.อ.ท.ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นการสร้างหลักสูตรหรือโครงการวิจัยร่วม แต่คือการเปิดพื้นที่ให้ความรู้และนวัตกรรมจากโจทย์จริงของสังคมและอุตสาหกรรมให้นักศึกษา และเชื่อว่าการเรียนรู้เชิงปฏิบัติและการสร้างสรรค์งานวิจัยที่ใช้ได้จริงจะทำให้นักศึกษา คณาจารย์ และภาคธุรกิจเติบโตไปพร้อมกัน ไม่เพียงยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่สากล แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม คุณภาพชีวิต และความยั่งยืนในอนาคต