UTA นัดถกติดตามคืบหน้า "อู่ตะเภาเมืองการบิน" ชี้ล่าช้าแล้ว 5 ปี เจอสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลง ขีดเส้นอีก 1 เดือนแก้ปัญหาไม่ได้พร้อมเลิกสัญญาตามสิทธิ ขณะที่ BA ผนึกการบินไทยยื่นพัฒนา MRO แบ่งพื้นที่ลงทุน
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ในฐานะผู้ถือหุ้น บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 2.9 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้ถือว่าโครงการล่าช้ามากแล้ว นับจากที่มีการลงนามสัญญาก็ครบ 5 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการซึ่งถือว่าภาครัฐทำผิดข้อกำหนด ที่ผ่านมามีการเจรจามาตลอด โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) ขอขยายกำหนดเริ่มงาน (NTP) มาแล้ว 2 ครั้ง ล่าสุดขยายจากวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ออกไปแล้วนั้น
โดย EEC ขอเวลาเพื่อรอเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางการแก้ปัญหา ทั้งเรื่องการสละสิทธิ์เงื่อนไขเริ่มโครงการโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีประมาณ 10 ข้อ เช่น การให้สิทธิทางภาษีแก่แผู้เข้ามาใช้พื้นที่เมืองการบิน, สิทธิสำหรับผู้เข้ามาทำงาน (work permit), การออกใบอนุญาตสำหรับร้านอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และดิวตี้ฟรี เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามายังเมืองการบินและสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม ได้
ในช่วงเย็นวันนี้ (1 ก.ย. 2568) กลุ่ม UTA จะมีการประชุมภายในเพื่อติดตามแนวทางในการดำเนินโครงการ เพราะตอนนี้มีหลายปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา รวมทั้งรอ ครม.รับทราบมติบอร์ด EEC ด้วย ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอน จึงยังไม่ทราบว่าจะได้ข้อสรุปเมื่อไร และอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะรอความชัดเจนอีกประมาณ 1 เดือน ทั้งนี้ กลุ่มฯ มีสิทธิ์ยกเลิกสัญญาได้แล้วตามเงื่อนไข ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนในโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 4,000 ล้านบาท ดังนั้นหากต้องยกเลิกสัญญานกันจริงก็จะขอคืนเงินลงทุนจาก EEC ในฐานะคู่สัญญา
นายพุฒิพงศ์กล่าวว่า จากที่ได้พูดคุยกับ EEC มีความพยายามจะแก้ไขปัญหาร่วมกัน นอกจากนี้ได้หารือเรื่องการปรับแผนการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาในฟสแรก จากเดิมที่ 12 ล้านคนต่อปี แต่เนื่องจากมีผลกระทบจากโควิด-19 และการพัฒนาขยายศัยกภาพสนามบินของ ทอท.และปัจจัยอื่นๆ ที่มากระทบต่อปริมาณผู้โดยสาร จึงมีการเจรจาเพื่อปรับลดการพัฒนาในเฟสแรกลง มาเริ่มต้นที่ 3 ล้านคนต่อปีก่อน เพราะเมื่อเทียบกับสนามบินอู่ตะเภาในปัจจุบันที่มีจำนวนผู้โดยสารเพียง 4 แสนคนต่อปี ขณะที่อาคารผู้โดยสารหลักสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 2-3 ล้านคนต่อปี จึงเห็นว่าเหมาะสมกับการลงทุน ซึ่งหากเปิดบริการแล้วผู้โดยสารเติบโตเร็วถึง 70% ของขีดความสามารถก็สามารถพัฒนาขยายการรองรับเพิ่มเป็น 6 ล้านคนต่อปี 8 ล้านคนต่อปีได้ และสุดท้ายจะพัฒนาไปถึง 60 ล้านคนต่อปี ตามระยะเวลาสัญญา 50 ปี
นายพุฒิพงศ์กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ท่าอากาศยานอู่ตะเภา พื้นที่ประมาณ 210 ไร่ ที่บริษัทฯ ร่วมมือกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ล่าสุดได้ยื่นเสนอรายละเอียดไปที่ EEC แล้ว โดยเบื้องต้นบริษัทฯ และการบินไทย จะใช้รูปแบบการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน โดยบริษัทฯ จะรับผิดชอบพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ ใช้วงเงินลงทุนหลัก 1,000 ล้านบาท ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นส่วนของการบินไทย
"การพัฒนา MRO สนามบินอู่ตะเภา บางกอกแอร์เวย์สจะร่วมมือกับการบินไทย รูปแบบการแบ่งพื้นที่ สร้างโรงซ่อมบำรุงเครื่องบิน (Hangar) แยกกันเพราะมีความคล่องตัวมากกว่าการร่วมทุนกันซึ่งจะต้องตั้งบริษัทใหม่ และขอใบอนุญาตใหม่ที่มีเงื่อนไขและใช้เวลามากกว่า โดยบริษัทฯ จะดำเนินการซ่อมอากาศยานลำตัวแคบ เช่น เครื่องบินแอร์บัส A320 และแอร์บัส A319 ในขณะที่การบินไทยจะดูแลเครื่องบินลำตัวกว้าง"