xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตหนัก! “จตุพร–สุชาติ” ลงพื้นที่จันทบุรี เร่งช่วยเกษตรกร หลังจีนคุมเข้มสารซัลเฟอร์ ราคาตก แรงงานไม่เพียงพอ ชาวสวนวอนรัฐเร่งเจรจา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กระทรวงพาณิชย์ นำโดยนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและปัญหาการส่งออกลำไย ณ สวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร. 9 ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดจันทบุรี หลังจีนเข้มตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ทำให้ผลผลิตจำนวนหนึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ ตีกลับหลายตู้ ส่งผลให้ราคาตก และประสบปัญหาขาดแรงงานเก็บเกี่ยว คาดรายได้เกษตรกรลดลงถึง 7 พันล้านบาท

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า วิกฤตลำไยปีนี้ หลัก ๆ เกิดจากทางการจีนปรับเปลี่ยนวิธีตรวจสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) ในลำไยส่งออก จากเดิมตรวจเฉพาะเนื้อผลไม้ไม่เกิน 50 PPM เป็นตรวจรวมทั้งเนื้อและเปลือก ส่งผลให้ลำไยจำนวนหนึ่งไม่ผ่านเกณฑ์ จนถูกตีกลับหลายตู้สินค้า ส่งผลให้ล้งรับซื้อหยุดชะลอการดำเนินงาน ส่งผลกระทบต่อราคาตลาดและรายได้ของเกษตรกร ซึ่งลำไยของจังหวัดจันทบุรีถือเป็นผลไม้สำคัญรองจากทุเรียนและเงาะในด้านปริมาณการผลิต ซึ่งมีความสำคัญและจำเป็นต้องเร่งเจรจากับผู้แทนจีนเพื่อหาทางออก

“สำหรับการตรวจสาร ในเบื้องต้นต้องเจรจาก่อน เพราะกฎเกณฑ์ออกมาจากประเทศจีน เมื่อเขากำหนดมา เราจำเป็นต้องพูดคุยว่า จะสามารถผ่อนปรนหรือลดความเข้มงวดได้หรือไม่ เพราะพี่น้องเกษตรกรไม่ได้เตรียมการเรื่องเหล่านี้ไว้ ซึ่งต้องไปพูดคุยกับทางกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงการต่างประเทศด้วยว่า จะแก้เรื่องนี้ได้อย่างไร ซึ่งจะพยายามทำให้เร็วที่สุด แต่ขณะเดียวกันในระยะยาว อยากให้พี่น้องชาวสวนปรับตัวด้วย อย่างเรื่องสารที่ควรใช้หรือไม่ควรใช้ ต้องค่อย ๆ ปรับตัวเองไป มองระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร เสริมว่า กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ทั้งการกระจายสินค้าในประเทศเพื่อลดปัญหาสินค้าค้างสต็อก ผ่านการจัดงานมหกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ Food and Fruit Festival และ New Year Grand Sale รวมถึงการเปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้าที่อาคารแสดงสินค้ากรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ถนนรัชดาภิเษก โดยหมุนเวียนผลผลิตจาก 7 จังหวัดชายแดนเข้ามาจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร

นอกจากนี้ ยังได้เร่งดำเนินการหาตลาดส่งออกใหม่ในหลายประเทศ ควบคู่กับการส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร เพื่อสร้างระบบการค้าส่งออกที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว


“เรื่องนี้มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเจรจาให้เร็ว ซึ่งต้องเรียนว่า ต้องใช้เวลาเหมือนกันเพราะเวลากระชั้นชิด แต่ตอนนี้เน้นระยะเร่งด่วนก่อน ในภาพของในประเทศ สำหรับสินค้าที่ยังไม่สามารถส่งออกได้ เกษตรกรยังค้างสินค้าไม่สามารถส่งไปได้ จึงอาจต้องกระจายในประเทศให้มากที่สุดก่อนเพื่อลดภาระให้พี่น้องเกษตรกร ในขณะเดียวกันได้มีการหารือกับรัฐมนตรีสุชาติว่า อาจจะต้องหาตลาดใหม่ ๆ ซึ่งมีการทดลองในหลายประเทศแล้ว”

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องช่วยกันคือเรื่องการแปรรูปว่าจะทำอย่างไรให้สามารถนำส่วนของการแปรรูปไปใช้ในระบบส่งออกและสามารถขายได้ ซึ่งต้องเร่งดำเนินการ” นายจตุพร กล่าว

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เน้นย้ำว่า กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเร่งดำเนินการทุกมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาและสนับสนุนเกษตรกรให้สามารถขายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
อีกทั้งหนึ่งประเด็นสำคัญคือ “ปัญหาขาดแรงงาน” เก็บผลผลิต เพราะแรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า มีการประสานงานกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและการค้าภายในประเทศ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจังหวัดจันทบุรีจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยย้ำว่า การแก้ปัญหาต้องทำอย่างจริงจัง ไม่แบ่งฝ่ายการเมือง และไม่ปล่อยให้ข้าราชการเกียร์ว่าง เพราะความเดือดร้อนของประชาชนรอไม่ได้

โดยการแก้ปัญหาลำไยจำเป็นต้องร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการเจรจาระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลกับจีน พร้อมทั้งเสนอให้ผลักดันแรงงานชายแดนเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องเพื่อรองรับฤดูเก็บเกี่ยว และเปิดตลาดใหม่ เช่น อินเดีย รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้สำคัญของจังหวัด

นายสุพล ลิมป์รัชดาวงศ์ อุปนายกสมาคมชาวสวนลำไยจังหวัดจันทบุรี และเจ้าของสวนลำไยแปลงขนาดใหญ่
ด้านตัวแทนเกษตรกร นายสุพล ลิมป์รัชดาวงศ์ อุปนายกสมาคมชาวสวนลำไยจังหวัดจันทบุรี และเจ้าของสวนลำไยแปลงขนาดใหญ่ ให้ข้อมูลว่า ผลผลิตลำไยปีนี้คาดว่า มีประมาณ 370,000 ตัน จากพื้นที่กว่า 25,000 ไร่ ไม่รวมเขตสระแก้วอีกเกือบ 100,000 ไร่ หากราคาปกติ รายได้รวมของเกษตรกรอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท แต่หลังจากพบปัญหาการตรวจสาร รายได้อาจลดเหลือเพียง 12–15 บาทต่อกิโลกรัม หรือขั้นต่ำประมาณ 4,800 ล้านบาท

โดยปัจจุบันลำไยที่ถูกตีกลับยังขายไม่ได้ ราคาตกเหลือ 22 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเท่ากับราคาส่งขาย พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐประสานงานกับรัฐบาลจีนเพื่อผ่อนปรนมาตรการตรวจสารในปีนี้ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อรายได้ และระบุว่า เกษตรกรบางส่วนได้ลดการใช้สารลง พร้อมทดลองวิธีอื่น ๆ แม้จะต้องเผชิญต้นทุนสูงขึ้น

“ผลผลิตลำไยปีนี้ถือว่า ดีมาก จากสภาพอากาศและปริมาณฝนที่เอื้ออำนวย ตามการคาดคะเน เฉพาะเดือนกันยายนของสวนตนน่าจะประมาณ 600 กว่าตัน รวม ๆ น่า 135,000 ตัน โดยประมาณ จะพีคที่สุดคือเดือนธันวาคม-กุมพาพันธ์ ซึ่งสามเดือนนั้นน่าจะอยู่ประมาณ 150,000–180,000 ตัน ต้องบอกว่า ตอนนี้ส่งผลกระทบมาก ทุกวันนี้ไม่มีความสุขเลย ต้องทำยังไงรัฐบาลจะช่วยได้ เราไม่ต้องการเงินชดเชย เพราะมันเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าหาตลาดให้เราแค่นั้นพอ”

“เราอยากจะให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องช่วยประสานงานกับรัฐบาลจีนให้ช่วยเพลา ๆ การตรวจสารเข้มตรงนี้ลงหน่อยได้ไหม ปีนี้ขอให้ผ่านไปก่อน แต่ว่าทางล้งก็รับปากแล้วว่า จะใช้สารให้น้อยลง แล้วก็กำลังค้นคว้าวิธีอื่นอยู่ ตอนนี้มีวิธีอบสารโดยใช้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แต่ต้นทุนการทำตู้อบค่อนข้างสูง ตู้หนึ่งก็ เจ็ด แสนกว่าบาท จากเดิมที่ต้องลงทุนแสนกว่า” นายสุพล กล่าว

นอกจากนี้ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศยังส่งผลต่อแรงงานเก็บเกี่ยว โดยปัจจุบันต้องอาศัยแรงงานลาวและแรงงานไทย แต่สวนขนาดใหญ่ยังต้องการแรงงานเพิ่มเติม โดยเฉพาะในช่วงพีคของฤดูกาลระหว่างเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ที่กำลังจะถึง

นอกจากนั้น นายจตุพรและนายสุชาติยังได้ร่วมกันปลูกต้นตีนเป็ดแดงบริเวณทางเข้าโครงการสวนพฤกษศาสตร์ป่าชายเลนนานาชาติ ร. 9 เพื่อเป็นสัญลักษณ์การสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และผลักดันให้ที่นี่เป็นศูนย์เรียนรู้ป่าชายเลนที่ดีที่สุดระดับโลกด้วย












กำลังโหลดความคิดเห็น