“คมนาคม” ตีกลับแผน รฟท.ขอเพิ่มพนักงาน 3,038 อัตรา “สุรพงษ์” ย้ำเน้นสายงานที่ขาดแคลนจริงๆ ด้านกรมรางติงขอมากเกินไปแบบเหมารวม ชี้บางงานใช้เทคโนโลยีและจ้าง Outsource แทนได้ เบรกซื้อรถจักรใหม่ สั่งปรับวิธีเป็นเช่าซื้อ ไม่กระทบเพดานหนี้สาธารณะ
นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เสนอแผนปรับอัตรากำลังให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของการรถไฟฯ โดยขอดำเนินการรับพนักงานใหม่เพิ่มจำนวน 3,038 อัตรา ในกรอบปี 2568-2572 (ระยะเวลา 5 ปี) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตราพนักงานนั้น เห็นว่าการเพิ่มพนักงานรถไฟควรพิจารณาในแง่ปริมาณและคุณภาพประกอบกัน รวมถึงมิติการใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วย จึงให้รฟท.กลับไปจัดเพิ่มเติมเพื่อให้มีความชัดเจนว่าขณะนี้งานด้านใดของรฟท.ขาดแคลนบุคลากร กรณีการขาดแคลน สามารถใช้ระบบเทคโนโลยี เข้ามาช่วยได้หรือไม่ เพื่อให้การเพิ่มพนักงานตรงกับเนื้องานที่มีความต้องการจริงๆ
ทั้งนี้ ส่วนของนโยบายรับทราบว่า รฟท.มีปัญหาขาดแคลนพนักงานจริง แต่การรับเพิ่มนั้นก็จะต้องรอบคอบ เพราะบางงานอาจใช้เทคโนโลยีแทนได้ ซึ่งที่เสนอมา 2,000-3,000 คนก็อาจจะลดลงไป 1,000 คนหรือไม่ คาดว่าภายในเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ รฟท.จะทบทวนรายละเอียดเสร็จ หากมีเหตุผลครบถ้วนก็จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขออนุมัติต่อไป โดยจะเป็นการขอเพิ่มอัตรากำลังในกรอบ 5 ปี ยังไม่ใช่การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ
“ที่ต้องทบทวนใหม่ เพราะอยากให้ดูเรื่องการใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานแล้ว อยากให้ผู้ว่าฯ รฟท.คนใหม่มีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วยเพราะอาจจะมีมุมมองในมิติอื่นที่เพิ่มเติมจากมิติเดิมๆ หลักการที่รฟท.ต้องทบทวนคือ จำนวนพนักงานเหมาะสมและจำเป็นกับงานนั้นๆ แล้วหรือไม่ มีการนำมิติด้านเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างเต็มที่แล้วหรือยัง”
@เบรกซื้อรถใหม่ ปรับวิธีเป็นเช่าซื้อ ไม่กระทบเพดานหนี้สาธารณะ
ส่วนโครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน 182 คัน โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ จำนวน 184 คัน และโครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินรวม 58,382.10 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมส่งเรื่องคืน รฟท.เพื่อให้ทบทวนวิธีการจัดหาใหม่นั้น
นายสุรพงษ์กล่าวว่า การจัดซื้อรถจักร รถโดยสาร จะมีผลกระทบต่อเพดานหนี้สาธารณะของประเทศ ซึ่งมีคำถามว่าหากรถไฟมีรถใหม่ แล้วจะยังคงขาดทุนหรือไม่ คำตอบคือ ยังขาดทุน ดังนั้น จึงให้รฟท.ปรับเปลี่ยนรูปแบบการบริหารจัดการใหม่ ซึ่งมีผลศึกษาแนะว่าควรใช้วิธีการเช่าซื้อ โดย รฟท.ใช้รายได้จากค่าโดยสารและค่าเช่าต่างๆ มาจ่ายค่าจัดหารถ โดยวิธีการเช่าซื้อนั้นไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะและ รฟท.เป็นเจ้าของทรัพย์สิน เป็นผู้ขายตั๋วและรับรายได้ พนักงานสบายใจได้
“มั่นใจว่า รฟท.จะเร่งทบทวนและนำเสนอแผนการเพิ่มคนและรถจักร-รถโดยสาร กลับมากระทรวงคมนาคมเร็วๆ นี้และจะนำเสนอ ครม.เพื่อขออนุมัติได้ในปีนี้ เพื่อเริ่มดำเนินการจัดหารองรับการเปิดรถไฟทางคู่ที่จะแล้วเสร็จ”
ด้านนายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กล่าวว่า รฟท.เสนอแผนการรับพนักงานใหม่เพิ่มจำนวน 3,038 อัตรา ในกรอบปี 2568-2572 ซึ่งเมื่อเทียบกับปัจจุบันที่ รฟท.มีพนักงานประมาณ 8,000 คน ขอเพิ่มอีก 3,000 คน ถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงเกือบครึ่งหนึ่ง ขณะที่ผลการดำเนินงาน ยังประสบกับการขาดทุนประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี จึงยังไม่สมเหตุสมผล โดยกรมรางได้ให้ความเห็น 3 ข้อ คือ 1. เห็นด้วยกับการเพิ่มพนักงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่น พนักงานขับรถไม่พอ แต่ต้องแยกให้ชัด ไม่ใช่ขอแบบเหมารวม 2. พิจารณาจ้างแรงงานภายนอก หรือ Outsource ส่วนงานที่ไม่จำเป็น เช่น พนักงานรักษาความปลอดภัย พนักงานทำความสะอาด เป็นต้น 3. นำเทคโนโลยีมาใช้แทนได้ เช่น พนักงานกั้นจุดตัด เป็นต้น
"มองว่าหากเสนอขอเพิ่มคน 3,000 คน ขณะที่ปัจจุบันมี 8,000 คน แล้วหน่วยงานที่ยังขาดทุนกว่าหมื่นล้านบาททุกปี ก็อาจจะไม่ได้รับอนุมัติ"
นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) กล่าวว่า รฟท.มีปัญหาขาดพนักงานมายาวนาน ทำให้พนักงานต้องทำงานหนัก ไม่มีเวลาพักผ่อนกระทบต่อสุขภาพ และยังเพิ่มค่าใช้จ่ายการทำงานล่วงเวลาอีกด้วย แผนการเพิ่มพนักงานผ่านการพิจารณามาอย่างเหมาะสมโดยเฉพาะพนักงานขับรถและพนักงานที่เกี่ยวกับการเดินรถและความปลอดภัย โดยที่ประชุมบอร์ด รฟท. เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567 มีมติเห็นชอบเสนอการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ที่ให้รับพนักงานได้ไม่เกินร้อยละ5 ของจำนวนพนักงานที่เกษียณอายุ และอนุมัติแผนปรับอัตรากำลังให้เหมาะสมกับการดำเนินธุรกิจของการรถไฟฯ โดยขอดำเนินการรับพนักงานใหม่เพิ่มจำนวน 3,038 อัตรา ในกรอบ ปี 2568 - 2572 ( ระยะเวลา 5 ปี) โดยปีแรกบรรจุจำนวน 1,260 อัตรา และทยอยรับในปีต่อไป ไม่น้อยกว่า 400 คนต่อปี