EEC ส่งหนังสือ UTA ขยาย NTP “อู่ตะเภา” จาก 31 ก.ค. 68 ไปก่อน เหตุต้องรอเสนอ ครม. 5 ส.ค.นี้ ส่วนเจรจาปรับเงื่อนไขกรณีไม่มี "ไฮสปีด 3 สนามบิน" ไม่จบ ยังไม่รับข้อเสนอปรับลดไซส์เฟส 1 เริ่มที่ 3 ล้านคน/ปี ด้าน "พิชัย" อุบเลิก-ไม่เลิกสัญญา ต้องดูผลกระทบทางเศรษฐกิจ ส่วนแก้สัญญาไฮสปีดคาดอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาจบสัปดาห์นี้
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.หรือ EEC) เปิดเผยว่า วันที่ 29 ก.ค. 2568 ยังไม่มีการรายงานคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าและปัญหาอุปสรรคการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มี บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) เป็นบริษัทร่วมทุนฯ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS), และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญาได้ เนื่องจากคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ด EEC) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เพิ่งประชุมเมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ระยะเวลากระชั้นชิดไป โดยจะนำรายงานต่อ ครม.ในการประชุมวันที่ 5 ส.ค. 2568 ต่อไปเพื่อเร่งแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 EEC ได้ทำหนังสือถึง UTA แล้ว เพื่อแจ้งขอขยายเวลาส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Notice to Proceed) จากวันที่ 31 ก.ค. 2568 ออกไปก่อนจนกว่า ครม.จะมีข้อสั่งการ ซึ่งที่ผ่านมามีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มโครงการสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินฯ ปี 2561 และเซ็นสัญญาปี 2563 ซึ่งมีปัญหาจากปัจจัยที่มากระทบมาจากหลายสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
หลักการเจรจาต้องการแก้ไขปัญหาให้ครบทุกประเด็น ซึ่งหนึ่งในเงื่อนไขในการออก NTP คือต้องมีโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ด้วย แต่จากที่เจรจากันมา 6 เดือน โครงการรถไฟความเร็วสูงไม่มีความชัดเจน จึงเห็นว่าการเดินหน้าออก NTP ของสนามบินโดยไม่มีรถไฟความเร็วสูงถือเป็นการลดหย่อนเงื่อนไข ซึ่งทาง UTA ได้เสนอปรับแผนพัฒนา โครงการในระยะที่ 1 โดยขอเริ่มการพัฒนาขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารที่ 3 ล้านคน/ปี จากเดิมที่จะพัฒนารองรับที่ 12 ล้านคน/ปี ซึ่ง EEC ยังไม่เห็นด้วย เนื่องจากสนามบินขนาด 3 ล้านคน/ปี ถือว่าเล็กเกินไปสำหรับการจะขับเคลื่อนให้เป็นศูนย์กลางการบิน (ฮับ)
สำหรับแผนพัฒนาที่ตกลงไว้ก่อนหน้านี้ มีการปรับการพัฒนาจาก 4 ระยะ เป็น 6 ระยะ โดยระยะที่ 1 เริ่มต้นที่ 12 ล้านคน/ปี ซึ่งเป็นศักยภาพรองรับผู้โดยสารเทียบเท่ากับสนามบินภูเก็ตหรือสนามบินเชียงใหม่ ซึ่งเหมาะสมสำหรับการจะพัฒนาเพื่อเป็นฮับได้
ขณะเดียวกัน EEC ได้สอบถาม UTA ในทางกลับกันว่า หากดำเนินการไปแล้ว โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบินมีการเปิดให้บริการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มดีมานด์ให้สนามบินเหมือนเดิม ทาง UTA จะมีการพัฒนาในกรณีนี้อย่างไร ต้องคิดและเจรจากันไว้เลย ทั้งนี้เพื่อให้มีเหตุผลและแนวทางชี้แจงต่อทุกฝ่ายได้
“การเจรจาต้องให้ครบทุกประเด็นและทุกกรณีที่จะเกิดขึ้น ตอนนี้ UTA บอกว่าจะเริ่มทำสนามบินโดยไม่รอรถไฟความเร็วสูง แต่หากรถไฟเปิดให้บริการได้ ตอนนั้นแผนพัฒนาสนามบินจะเป็นอย่างไร ต้องคุยให้ชัดเจนก่อน”
@คาดสัปดาห์นี้อัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาร่วมทุน "ไฮสปีด" จบ
สำหรับความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดว่าภายในสัปดาห์นี้อัยการสูงสุดจะตรวจร่างสัญญาร่วมทุนฯ ฉบับแก้ไขเสร็จแล้วส่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งหลัง รฟท. และบริษัท เอเชีย เอราวัน จำกัด ของกลุ่มซีพี เอกชนผู้ร่วมลงทุนฯ หารือถึงร่างสัญญาฯ ไม่มีข้อติดขัดแล้วจะเสนอเข้าคณะกรรมการกำกับฯ และบอร์ด EEC เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเดินหน้าแก้ไขสัญญาต่อไป
ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า การประชุมบอร์ด EEC เมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา EEC ได้รายงานความคืบหน้าปัญหาอุปสรรคการดำเนินโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกแล้ว ซึ่งต้องมีการเจรจากับเอกชน และทำเงื่อนไขกันไป กรณีที่เป็นปัญหา เพราะทางฝั่งรัฐเองก็ทำตามเงื่อนไขไม่ครบตามที่ตกลงกันไว้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่าจะยังไม่ยกเลิกโครงการใช่หรือไม่ นายพิชัยตอบว่า จะเลิกไม่เลิกก็ต้องดูก่อนว่าโครงการมีผลเสียต่อเศรษฐกิจไหม
ด้านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คมนาคม กล่าวถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินที่ดำเนินการล่าช้าจนกระทบต่อการดำเนินโครงการสนามบินอู่ตะเภาของกลุ่ม UTA ว่า การแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินน่าจะรออีกไม่นานแล้ว คาด 2-3 เดือนนี้น่าจะเรียบร้อย โดย รฟท.รายงานว่าอยู่ในขั้นตอนตรวจร่างสัญญาที่แก้ไขของสำนักงานอัยการสูงสุด