ส.อ.ท.เผยยอดผลิตรถยนต์เดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 139,186 คัน เพิ่มขึ้น 10.32% นับเป็นการเพิ่มขึ้นเดือนแรกในรอบ 21 เดือนมาจากการผลิตรถไฟฟ้าBEVและPHEVเพิ่มขึ้น 641.16%และ120.32% ตามลำดับ เหตุราคารถไฟฟ้า ส่วนยอดขายรถยนต์อยู่ที่ 52,229 คัน เพิ่มขึ้น 4.73 %เป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และรถยนต์เครื่องสันดาปโตขึ้นจากราคาจับต้องได้ ขณะที่การส่งออกอยู่ที่ 81,071 คัน ลดลง 9.20%
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จำนวนผลิตรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 33.51% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 10.32 % นับเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน มาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV พ.ค.68 เพิ่มขึ้น 641.16%อยู่ที่ 6,411 คัน และรถยนต์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV )โตขึ้น 130.49%อยู่ที่1,837 คัน ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88 % รวมทั้งผลิตรถ PPV เพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น138.65% ขณะที่รถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายใน(ICE) ผลิตอยู่ 25,211 คัน ลดลงจากปีก่อน 15.78%
ส่วนจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ใน 5 เดือนแรกปี2568 (เดือนมกราคม - พฤษภาคม 2568 )มีทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.82% ทำให้มั่นใจว่ายอดผลิตรถยนต์ในปี2568 น่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1.5 ล้านคัน โดยจะเป็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราว 5หมื่นคัน คาดยอดขายรถยนต์ในประเทศขยับขึ้นมาแตะ 6 แสนคันในปีนี้ ส่วนการส่งออกต้องรอผลการเจรจาภาษีนำเข้าตอบโต้กับสหรัฐฯก่อน ซึ่งวันที่ 8ก.ค.68 เป็นวันสิ้นสุดการระงับการปรับขึ้นภาษีครบกำหนด 90วัน
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2568 ราว 10.67%แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 4.73 % เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในเพิ่มขึ้น 118.64% 234.68 %และ 3.19 %ตามลำดับ จากราคาที่จับต้องได้มากขึ้น แต่ยอดขายรถกระบะยังคงลดลง24.84 % เป็นผลจากการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงินเพราะหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังอ่อนแอจากการลงทุนภาคเอกชนที่ยังต่ำ รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลงและกังวลเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่จะไม่ได้ใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้จากปัญหาการเมืองที่ขัดแย้งกันซึ่งจะซ้ำเติมเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดอยู่แล้วทรุดลงมากขึ้นไปอีก
ส่วนในช่วง 5เดือนแรกปี2568 ยอดขายรถยนต์ในประเทศรวม 252,615 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 2.98 %
การส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปในเดือนพ.ค.2568 อยู่ที่ 81,071 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 23.34% แต่ลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2567ประมาณ 9.20% เป็นผลจากการหยุดผลิตรถยนต์นั่งบางรุ่นที่เลิกส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและยุโรปจากการเข้มงวดเรื่องอุปกรณ์ช่วยเหลือในการขับ จึงไม่มีรถยนต์นั่งส่งออกไปในตลาดยุโรป แต่ส่งออกรถกระบะเพิ่มขึ้นตามจำนวนการผลิตรถกระบะส่งออกมากขึ้นในเดือนพฤษภาคม และส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางด้วย รถยนต์ HEV ยังส่งออกเพิ่มขึ้น17.48% แต่การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนยังคงมีความไม่แน่นอนทั้งภาษีนำเข้าของอเมริกา ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจและการค้าโลกชะลอตัวลง
สำหรับมูลค่าการส่งออกรถยนต์ในเดือนพ.ค.ปีนี้ 55,163.36 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 12.54%
ส่วนยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปช่วง 5เดือนแรกปี2568อยู่ที่ 371,272 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกัน13.65 %แบ่งเป็นรถกระบะ ICE 240,030 คัน ลดลง 2.80% รถยนต์นั่ง ICE 53,651 คัน ลดลง 46.37% รถยนต์นั่ง BEV 660 คัน ซึ่งในปี 2567 ไม่มีการส่งออก รถยนต์นั่ง HEV 22,214 คัน ลดลงจาก6.75% รถ PPV 54,717 คัน ลดลงจากปีก่อน 7.53%
คิดเป็นมูลค่าการส่งออกรถยนต์ 256,931.34 ล้านบาท ลดลง 14.46 %
อย่างไรก็ดี ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีรถยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนใหม่(ป้ายแดง)11,827 คัน โตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 124.42%
นายสุรพงษ์ กล่าวว่าตามที่กระทรวงการคลัง มีแผนผลักดันโครงการ “รถเก่าแลกรถใหม่” เพื่อช่วยกระตุ้นการขายรถกระบะใหม่ได้มากขึ้น โดยให้นำรถกระบะเก่าอายุ 20-25 ปี นำมาแลกรถคันใหม่ โดยจะให้เงื่อนไขทางภาษีพร้อมกับใช้กลไกการค้ำประกันของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (บสย.) ซึ่งเป็นข่าวดี เนื่องจากไทยมีระกระบะอายุ20ปีขึ้นราว 2ล้านกว่าคัน แต่อยากให้รัฐปรับเงื่อนไขอายุรถกระบะที่ได้สิทธิแลกเป็นรถใหม่จากเดิมอายุรถ 20-25ปี เป็น7-8ปีแทน และตั้งกองทุนราว5พันล้านบาท เพื่อค้ำประกันยอดการขาดทุนไม่เกินคันละ 5หมื่นบาท ช่วยให้ไฟแนนซ์กล้าปล่อยสินเชื่อซื้อรถมากขึ้น เชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถกระบะได้รวดเร็วราว 50,000-100,000 คัน
ส่วนผลกระทบการปิดชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ยังไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากไทยส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนฯทางเรือเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสงครามในตะวันออกกลาง คงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าลุกลามหรือไม่ เนื่องจากตะวันออกกลางเป็นตลาดหลักในการส่งออกรถยนต์ โดยจะส่งออกผ่านทะเลแดงและคลองสุเอซ ไม่ได้ผ่านช่องแคบฮอร์มุซ