สถานการณ์การสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่านได้ปะทุขึ้นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากอิสราเอลโจมตีฐานปฏิบัติการขีปนาวุธ และโรงงานพัฒนานิวเคลียร์ในอิหร่านอย่างรุนแรง โดยอิหร่านก็ตอบโต้กลับทันทีด้วยโดรนและขีปนาวุธจำนวนมาก สร้างความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลางอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันได้ดีดตัวสูงขึ้นในทันที หากสถานการณ์สงครามขยายวงกว้างและยืดเยื้อ จะยิ่งกดดันทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยย่ำแย่ลงไปอีก และราคาน้ำมันกลับมาผันผวนสูงขึ้นอีกครั้ง
แม้ว่ากรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงานจะออกมายืนยันความพร้อมรับมือหากสถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านทวีความรุนแรงมากขึ้น ประเทศไทยมีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีเพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศราว 60วัน โดยมีน้ำมันดิบคงเหลือประมาณ 3,104 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 23 วัน น้ำมันดิบที่อยู่ระหว่างขนส่ง 2,597 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 20 วัน และน้ำมันสำเร็จรูป 1,886 ล้านลิตร เพียงพอต่อความต้องการใช้ 17 วัน
ศก.ไทยครึ่งหลังปี68 อาการน่าเป็นห่วง
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากสงครามอิสราเอลกับอิหร่าน และข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา คงต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะจบได้เร็วหรือไม่ หากจบเร็ว ไม่ยืดเยื้อ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็จะน้อย แต่หากลากยาวและขยายวงกว้าง ย่อมมีผลต่อเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง2568 ซึ่งจะประเมินกันอีกทีว่าจะต้องปรับลดประมาณการณ์การเติบโตเศรษฐกิจไทย(GDP)ในปี2568 ลงอีกหรือไม่ หลังจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร.เพิ่งได้ประกาศปรับลดGDPในปี2568 ลงมาอยู่ที่ 1.5-2.0%เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
แต่ยอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งหลัง เรายังไม่เห็นปัจจัยบวกเข้ามาเพิ่ม แต่กลับมีปัจจัยลบเพิ่มขึ้นถึง 2 เรื่องทั้งปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และสงครามอิสราเอลกับอิหร่าน ซึ่งได้แต่คาดหวังให้ความขัดแย้งนี้จะยุติโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบให้น้อยที่สุดโดยเฉพาะข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
ส่วนความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านก็มีสัญญาณมาก่อนหน้านี้ว่าจะมีการใช้ความรุนแรง หากเหตุการณ์ยืดเยื้อและลุกลามขยายวงกว้าง จะส่งผลต่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น เพราะภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นแหล่งผลิตและส่งออกน้ำมันที่สำคัญของโลก จะกลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหา กดดันเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก
รวมทั้งส่งผลกระทบซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่ปีนี้มีอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจเกือบต่ำที่สุดในอาเซียน เพราะไทยต้องเผชิญปัจจัยลบรอบด้านทั้งปัจจัยภายในจากปัญหาหนี้สาธารณะที่สูง สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อในการซื้อบ้านและรถยนต์สืบเนื่องมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีอัตราสูงกระทบต่ออุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องเป็นวงกว้าง ฉุดกำลังซื้อคนในประเทศลดลง รวมถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ หากลากยาวจะมีผลต่อการค้าชายแดน ซึ่งในปี2567 มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่ 1.75 แสนล้านบาท
ส่วนปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง ทำให้สินค้าราคาถูกจากจีนไหลทะลักเข้าไทยเพิ่มมากขึ้น กดดันSMEและภาคการผลิตแข่งขันได้ยาก ขณะที่มาตรการปกป้องการทุ่มตลาดและการอุดหนุนของไทยยังทำได้ไม่ดี นโยบายขึ้นภาษีของทรัมป์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะสงครามอิสราเอล-อิหร่าน มีผลต่อราคาพลังงานทำให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าแพงขึ้น ขณะที่กำลังซื้อในประเทศหดหาย
ดังนั้น กกร.เตรียมนัดหารือกับภาครัฐหารือเสริมมาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจและSMEไทยที่มีจ้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหรือสายป่านสั้นให้ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปให้ได้
อย่างไรก็ดี ในปี2568 ธุรกิจไทยส่วนใหญ่วางแผนรับมือเศรษฐกิจผันผวนโดยตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ระมัดระวังการลงทุน แต่เมื่อสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)เรียกเก็บกับประเทศคู่ค้า โดยไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 36% เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 ก่อนที่สหรัฐฯจะระงับการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวออกไป 90วัน(สิ้นสุดในวันที่ 8 กรกฎาคม) ทำให้ภาคธุรกิจมีเวลาปรับแผนกลยุทธ์ใหม่เพื่อรับมือ ซึ่งเห็นชัดว่า ภาคธุรกิจมีการชะลอการลงทุนใหม่เพื่อรักษาสภาพคล่อง และWait and See รอความชัดเจนในประเด็นภาษี Reciprocal Tariffs ของประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะที่การเจรจา Reciprocal Tariffs กับสหรัฐฯที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นหัวหน้าทีมไทยในการเจรจา ก็ยังไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าจะได้รับสัญญาณในการเข้าเจรจาแล้วก็ตาม แต่เหลือเวลาอีกราว 20 วัน ไม่แน่ว่าจะเจรจาทันกรอบเวลาที่ขยาย 90 วันหรือไม่ ล่าสุด มีสัญญาณว่าสหรัฐฯอาจจะขยายเวลาในการเจรจาออกไปอีก แต่การขยายเวลาออกไปนานขึ้นนั้น อาจไม่เป็นผลดีก็ได้ เพราะถ้าไม่มีผลสรุปที่ชัดเจน เชื่อว่านักลงทุนก็จะไม่กล้าตัดสินใจลงทุนใหม่ ทำให้ไม่มีเม็ดเงินทุนมากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
สำหรับบริษัทเอกชนรายใหญ่ของไทยไม่ว่าจะเป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน)หรือ PTT บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)หรือ SCC รวมถึงบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ GULF วางกรอบแนวทางการบริหารงานในปีนี้ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวนไปในทิศทางเดียวกัน
PTTเปิดกลยุทธ์รับมือศก.ดิ่ง
บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) ภายใต้การนำทัพของ ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT ได้วางกลยุทธ์หันมามุ่งเน้นธุรกิจไฮโดรคาร์บอนที่ปตท.ถนัด ปรับพอร์ตธุรกิจสู่สมดุลใหม่ และยุติการลงทุนในธุรกิจNon Core Business ที่ขาดทุนและไร้อนาคต จึงเห็นการทยอยปิดกิจการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี2567 รวมทั้งเร่งหาพันธมิตรใหม่เข้ามาถือหุ้นธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น
ขณะเดียวกันได้จัดตั้งวอร์รูม เพื่อรับมือเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย โดยทบทวนกลยุทธ์เดิม เร่งการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับความร่วมมือภายในกลุ่ม ปตท. ขณะเดียวกันรักษาวินัยการเงิน และรักษากระแสเงินสด ควบคู่กับการทบทวนความเป็นไปได้ของโครงการและการลงทุน โดยต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ รวมถึงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (Asset Monetization) ของบริษัทFlagshipด้วย
เมื่อเร็วๆนี้ ปตท. แจ้งเลิกกิจการบริษัท อินโนโพลีเมด จำกัด (IMD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ ปตท.ถือหุ้นในสัดส่วน 40% ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ร่วมทุนกับบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) (IRPC) ถือหุ้นใน สัดส่วน 60% โดยมีทุนจดทะเบียน 282 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนเลิกกิจการให้แล้วเสร็จภายในปี 2568
บริษัท อินโนโพลีเมด ตั้งขึ้นเพื่อทำธุรกิจผลิตผ้าไม่ถักไม่ทอ (Non-woven Fabric) ที่ขึ้นรูปด้วยวิธี Melt Blown ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับผ้าชั้นกรองหน้ากากอนามัย หน้ากาก N95 ชุดกาวน์ และแผ่นกรองอากาศ เป็นต้น หวังทดแทนการนำเข้า ซึ่งในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไทยขาดแคลนหนัก
แต่ปัจจุบันโรคโควิด-19 ไม่รุนแรงเหมือนในอดีต ทำให้ความต้องการใช้หน้ากากอนามัยลดลง สามารถซื้อหาได้ง่ายและราคาถูกลง ทำให้บริษัท อินโนโพลีเมด ประสบปัญหาการขาดทุนมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2564 - 2567 รวมประมาณ 84 ล้านบาท หากมองอนาคตก็ยังต้องแบกรับภาระการขาดทุนต่อไป ดังนั้นปตท.และไออาร์พีซีจึงตกลงร่วมกันยุติกิจการ IMD ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ ปตท.ในการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ
ส่วนบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC ได้วางกลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตให้สามารถแข่งขันกับสินค้าจากจีนได้ การขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ การบุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ หลังพบว่าบางประเทศได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และอาศัยความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียนที่มีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯต่ำกว่า เช่นอาศัยฐานจากฟิลิปปินส์ในการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นต้น ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษากระแสเงินสด รวมถึงการปิดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร
ล่าสุดบริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด(มหาชน) (SCGC) ที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด ได้ประกาศปรับสถานะการลงทุนใน PT Chandra Asri Pacific Tbk (CAP) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอินโดนีเซีย (IDX) ที่ SCGC ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 30.57 จากเดิมที่เป็นบริษัทร่วม (Associated Company) เป็นการลงทุนอื่น (Other Investments) โดย SCGC จะลดสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ลง 10.57% เหลือเพียง 20% ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ปัจจุบันของ SCGC ในการลดภาระทางการเงิน (Deleverage) และจัดสรรเงินทุนใหม่เพื่อโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
GULF จ่อขายโรงไฟฟ้าในปีนี้
ด้านบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เป็นบริษัทที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการแตกไลน์จากธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ไปสู่การจัดหาและขายส่งก๊าซธรรมชาติ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ คลอบคลุมมอเตอร์เวย์ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัล ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล การสื่อสารโทรคมนาคม และดาวเทียม ล่าสุดรุกธุรกิจบริการศูนย์ข้อมูล(Data Center)และCloud
แม้ว่าเศรษฐกิจโลกและไทยถูกรุมเร้าจากปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน แต่GULFยังยืนเดินหน้าลงทุนตามแผนงานที่กำหนดไว้ ยกเว้นการควบรวมหรือซื้อกิจการ (M&A)โครงการใหม่ๆในปีนี้อาจจะไม่มี หากตัดสินใจลงทุนใหม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ขณะนี้ได้ Wait and See เช่นเดียวกับหลายๆบริษัทที่รอความชัดเจน Reciprocal Tariffs ผลกระทบจากสงครามการค้า รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการใช้ไฟฟ้าในอนาคต
นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ GULF เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังนี้จะเห็นการขายสินทรัพย์หรือโรงไฟฟ้าออกไปบ้าง หากได้ราคาที่ดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ที่ผ่านมา GULFมีการขายสินทรัพย์มาโดยตลอด เมื่อมีการลงทุนหรือซื้อกิจการโครงการเข้ามา ก็จะขายสินทรัพย์ออกไป ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษา
ส่วนข้อกังวลว่าการใช้ไฟฟ้าในประเทศจะลดลงจากผลกระทบเศรษฐกิจถดถอยนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่เห็นสัญญานการใช้ไฟฟ้าลดลงเลย ยิ่งมีการลงทุนโครงการData Center และยานยนต์ไฟฟ้า(EV)มากขึ้น ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มตามไปด้วย โดยเฉพาะData Center เป็นอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงรวมแล้ว 3-4 พันเมกะวัตต์
ส่วนทิศทางเศรษฐกิจในปี2569 มองว่าเศรษฐกิจยังท้าทาย ตัวเลข GDPลดลงมาค่อนข้างมาก แต่จริงๆแล้วต้องเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน หากไทยมีGDP ถดถอยกว่าประเทศอื่นก็จะเกิดการไหลออกของเงินทุนไปยังประเทศอื่นแทน เชื่อว่าภาครัฐเร่งแก้ปัญหาอยู่