การตลาด – เจาะกลยุทธ์ ดุสิตธานีกรุ๊ป ฉากใหม่ ภายใต้การนำทัพของ “ศุภจี” ที่ผ่านไทม์ไลน์มาแล้ว 9 ปี มั่นใจปีนี้เทิร์นอราวนด์แน่นอนในรอบ 5 ปี ยืนยันปัญหางบการเงินจบแล้ว พร้อมลุยต่อ ทุบสถิติรายได้ปีที่แล้ว
“ปีนี้(2568) คาดว่าผลประกอบการของดุสิตธานีกรุ๊ปจะกลับมาเทิร์นอราวนด์ (Turn Around)ได้แน่นอนมีกำไรในรอบ 5 ปี ด้วยรายได้รวมประมาณ 9,000 ล้านบาท (ไม่รวมรายได้จากการส่งมอบงานโครงสร้างพื้นที่อาคารค้าปลีกของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค – “Bare Shell”) หรือเติบโตประมาณ 20%-25% จากรายได้ปีที่แล้วที่มีประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราได้ปรับประมาณการณ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆที่เป็นอยู่นี้แล้ว”
นี่คือ คำประกาศของ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT
*** ฝ่าปัจจัยลบ-เคลียร์งบการเงินชัดเจน
ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ ดุสิตธานี อยู่ท่ามกลางการจับตามองของผู้คนทั้งในวงการโรง
แรมและทั่วไป ในภาวะที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร
โดยเฉพาะเรื่องงบการเงินและปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ภายนอก
ปัจจัยภายนอกนั้น เนื่องจากว่า ครึ่งปีหลัง2568จากนี้ ปัจจัยลบต่างๆที่ต้องพึงระวังมีหลายประการไม่ว่า จะเป็น ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังไม่ดีนัก ปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวที่่จะดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างไร ปัญหาเรื่องการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องภาษีของอเมริกา ปัญหาความขัดแย้งชายแดน รวมทั้งปัญหาการเมือง เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและโรงแรมทั้งสิ้น
ทั้งนี้ในแง่ของงบการเงิน หากมองถึงสถานภาพทางรายได้ของดุสิตกรุ๊ป จะพบว่า ดีขึ้นมาตามลำดับ
กล่าวคือ ปี2562 รายได้ 6117 ล้านบาท, ปี 2563 รายได้ 3,320 ล้านบาท,ปี2564รายได้ 3,443 ล้านบาท, ปี 2565รายได้ 5,130 ล้านบาท และปี2566 รายได้ 6,410 ล้านบาท
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างรายได้ในปีที่แล้วมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทเอง มากถึง 11,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 คิดเป็น 74.8% โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 1,650 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.4% (YoY)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทฯ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายเพื่อรองรับสภาพคล่องทางการเงินในช่วงโควิด-19 และดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ประมาณ 281 ล้านบาท รวมถึงดอกเบี้ยของหนี้สินจากสัญญาเช่าตามมาตรฐานการรายงานการเงินฉบับที่ 16 (TFRS 16) ประมาณ 297 ล้านบาท รวมเป็นต้นทุนทางการเงินประมาณ 578 ล้านบาท จึงทำให้มีตัวเลขขาดทุนสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ 237 ล้านบาท ลดลง 58.4%
ซีอีโอ ของ ดุสิตกรุ๊ป ย้ำว่า “หากเราไม่รวมต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย ธุรกิจของเราก็ยังมีกำไรจากการดำเนินงาน แต่ที่เราต้องออกหุ้นกู้และกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน เนื่องจากที่ผ่านมา กลุ่มดุสิตธานีมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ใน “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่มีมูลค่าประมาณ 46,000 ล้านบาท หรือเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กว่า 3 ปี ในขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทยังคงอยู่ที่ 850 ล้านบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
ส่วนผลประกอบการไตรมาสแรกปี2568 มีรายได้รวม 2,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% มีEBITDA 513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.6% กำไรสุทธิ 48 ล้านบาท ลดลง 60.7%
พร้อมกับย้ำว่า ภาระดอกเบี้ยจ่ายนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากการโอนโครงการที่พักอาศัยเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 และช่วงเวลานั้น จะเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานีจะกลับมามีกำไรสุทธิอีกครั้งอย่างแน่นอน
โครงการที่พักอาศัยซึ่งเป็นตัวหลักดังกล่าวคือ การขยายเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านโครงการที่พักอาศัย ได้แก่ โครงการ Dusit Residences และ Dusit Parkside ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (ที่ร่วมทุนกับทางกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาของตระกูลจิราธิวัฒน์) ปัจจุบันมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 90% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยมีแผนจะเริ่มทยอยโอนในช่วงปลายปี 2568 และจะมีการโอนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2569 จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ช่วง Unlock Value ของกลุ่มดุสิตธานีเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากรายได้ที่รอการรับรู้ดังกล่าว
นั่นหมายความว่า ในปีหน้า(2569) หลังจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการที่พักอาศัยดังกล่าว กลุ่มดุสิตธานีจะสามารถลดภาระหนี้สิน ทำให้ต้นทุนการเงินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวจะมาจากธุรกิจต่างๆดังนี้ ธุรกิจโรงแรม คาดว่าจะเติบโต 20%-25%, ธุรกิจอาหารเติบโต 10%-15%, ธุรกิจการศึกษา เติบโต 10%-12% และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เติบโตมากกว่า 100% (ไม่รวม Bare Shell)
ขณะที่สัดส่วนรายได้ปี2568 นี้ จะใกล้เคียงกับปีที่แล้วคือ ธุรกิจโรงแรม 66-67%, ธุรกิจอาหาร 18%-20%, ธุรกิจการศึกษา 5%-6% และ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 7%
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ดุสิตธานี มีปัญหาในการประชุมผู้ถือหุ้นที่ไม่รับในงบการเงินปีที่แล้วนั้น นางศุภจี อธิบายว่า ภายหลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 มีมติไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 และยังไม่ได้ประชุมในวาระการแต่งตั้งผู้สอบบัญชี ประจำปี 2568 จนอาจนำไปสู่ปัญหาการนำส่งงบการเงินไตรมาส 1 ประจำปี 2568 ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 นั้น คณะกรรมการและคณะผู้บริหารของบริษัทฯ ก็ได้พยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ โดยได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้ง จนกระทั่งสามารถนำส่งงบการเงินไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านการสอบทานแล้วได้ทันตามกำหนดเวลา ทำให้หุ้น DUSIT ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP หยุดการซื้อขาย และต่อมาในการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นก็ได้อนุมัติการแต่งตั้งผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของปี 2568 เป็นที่เรียบร้อย
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดุสิตธานี กล่าวว่า การจัดทำและอนุมัติงบการเงินของดุสิตธานี มีความถูกต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน ผู้สอบบัญชีจึงลงนามรับรองอย่างไม่มีเงื่อนไข และการนำส่งงบการเงินได้ทันตามกำหนดเวลา อีกทั้งสามารถแต่งตั้งผู้สอบบัญชีปี 2568 ได้ ส่งผลให้บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศยกเลิก “เครดิตพินิจ”แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” ที่ให้ไว้แก่อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทฯ พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ “BBB-” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (DUSIT22PA) ของบริษัทฯ ไว้ที่ระดับ “BB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่”
“เราได้มีการพบพูดคุยและอธิบายกับผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ทุกท่านก็เชื่่อมั่นและยังให้การสนับสนุน จากทายาททั้งสามท่านในการให้ทำหน้าที่นี้่ต่อไป ท่านก็เรียกเข้าไปคุย ท่านก็ไม่ติดใจอะไรให้ทำต่อไป แผนงานก็เดินมาอย่างนี้ กำลังจะเสร็จ มันไม่ได้มีอะไรแล้ว” นางศุภจี กล่าว
ทั้งนี้ในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ บริษัทจะมีการประชุมคณะกรรมการบริษัทอีกครั้ง โดยมีวาระหลักคือ การพิจารณา การคัดเลือกคณะกรรมการบริษัทที่มีอยู่ 8 คน ที่จะพิจารณาตำแหน่งต่างๆ ให้ครบตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดไว้
เช่นเดียวกับยุทธศาสตร์ต่อไปขององค์กร จะต้องมีการประชุมร่วมกับคณะกรรมการบริษัท เพื่อสรุปแผนร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
*** มองเทรนด์ท่องเที่ยวมาแรง-เปิดโรงแรมใหม่
ทั้งนี้ นางศุภจี ได้วิเคราะห์ถึงเทรนด์การท่องเที่ยวจากนี้ที่น่าจับตามองด้วยว่า พฤติกรรมผู้บริโภคทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปมากและรวดเร็ว ผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวให้ทัน และมองถึงแนวโน้มของตลาดที่จะเกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งเทรนด์จากนี้พบว่า
1. เทรนด์เรื่องท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือพวกเวลเนส เมดิคัล ที่ยังคงมาแรงต่อเนื่อง รวมทั้งการท่องเที่ยวกลุ่มที่เดินทางมาพำนักนานๆ หรืออกลุ่มที่มาเที่ยวและทำงานไปด้วย ซึ่งประเทศไทยก็เป็นจุดหมายสำคัญของกลุ่มเหล่านี้
2. การท่องเที่ยวที่ต้องคำนึงถึงกรีนตอนเซ็ปท์หรือรักษ์โลก ความยั่งยืน เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้ไม่น้อย
3. การท่องเที่ยวแบบประสบการณ์ อันซีน (UNSEEN ) ที่ต้องสร้างสรรและหาอะไรแปลกใหม่มานำเสนอและบริการมากขึ้น
4. การทำตลาดที่ต้องพุ่งเป้าหมายชัดเจน ไม่ได้เหวี่ยงแหในวงกว้าง เพราะจะทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ตรงกลุ่ม
ทั้งนี้ในปี 2567 มีโรงแรมเปิดให้บริการรวม 4 แห่ง คือ ดุสิตธานี กรุงเทพ (257 ห้อง) , ดุสิตปริ้นเซส เชียงใหม่ (198 ห้อง), ดุสิตปริ้นเซส มะละกา ที่มาเลเซีย (295 ห้อง) และ ดุสิตดีทู ฟากู ที่อินเดีย (80 ห้อง)
ส่วนปี 2568 โรงแรมที่เพิ่งเปิดให้บริการ และกำลังจะเปิด คือ ดุสิต เลอ ปาเลส์ ตือฮัว ฮานอย (207 ห้อง) เพิ่งเปิดให้บริการในวันที่ 9 พ.ค., ดุสิต โฮเทล เอจี พาร์ค เฉิงตู (250 ห้อง) เตรียมเปิดในเดือน มิ.ย. นี้, ดุสิตดีทู เฟย์ดู มัลดีฟส์ (125 ห้อง) เตรียมเปิดในเดือน ส.ค. นี้ , ดุสิตปริ้นเซส ริยาด ที่ซาอุดิอารเบีย (150 ห้อง) เตรียมเปิดในเดือน ต.ค. นี้ และ ดุสิตเดวาราณา หางโจว ที่จีน (100 ห้อง) เตรียมเปิดในไตรมาสที่ 4 เป็นต้น
ปัจจุบันยังมีโรงแรมที่เซ็นสัญญาไปแล้วกว่า 50 แห่ง ในภูมิภาคเอเชีย แอฟริกา ประเทศทางตะวันออกกลาง และยุโรป
*** ย้อนไทม์ไลน์ แผน 9 ปี พลิกดุสิตธานี
ศุภจี เข้ามาเป็นกรรมการ ดุสิตธานี เมื่อปี 2558 แต่ในปี 2559 ก็ได้รับความไว้วางใจให้เป็น ซีอีโอ บริหารจัดกาธุรกิจเต็มตัว
ช่วงแรกที่เข้ามาศึกษาธุรกิจ พบว่า รายได้หลักของดุสิตมาจากโรงแรมเป็นหลักมากถึ ง 90% ส่วนอีก 10% มาจากธุรกิจการศึกษาและอาหาร
ขณะนั้น ดุสิตมีโรงแรมในเครือข่ายทั้งหมด 27 โรงแรม ใน 8 ประเทศ ที่สำคัญกว่านั้น ก็คือ ในจำนวน 90% ของรายได้หลักที่มาจากโรงแรมนั้น เป็นโรงแรมของดุสิตเองเพียง 10 แห่งเท่านั้น ที่เป็นเจ้าของลงทุนเอง และอายุของแต่ละโรงแรมก็เก่ามากแล้ว โดยเฉพาะดุสิตธานีกรุงทพ ที่สีลม มีอายุมากกว่า 50 ปีแล้ว โรงแรมอื่นก็อายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไปทั้งนั้น มีเพียงแห่งเดียวในขณะนั้นที่อายุไม่ถึง 10 ปี คือ ดุสิตที่มัลดีฟส์
ขณะที่โรงแรมที่รับบริหารนั้น มีสัดส่วนรายได้เพียง 5-7% เท่านั้นเอง
จึงมองว่าถือเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ในการพึ่งพารายได้หลักเพียงอย่างเดียว
“ตอนแรกเราก็คิดว่าจะจัดการอย่างไรดี เพื่อลดความเสี่ยง แต่การลงทุนก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก ขยายโรงแรมขยายห้องพักต่อเนื่องเพื่อสร้างเครือข่ายและปริมาณ” ซีอีโอ กล่าวย้อนความหลัง
สรุปส่วนที่่ต้องทำตอนนั้นก็คือ 1. Balance ทำอย่างไรให้ธุรกิจสมดุลย์ของพอร์ตโฟลิโอ2. Expand ทำอย่างไรให้ขยายธุรกิจได้เร็ว และไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และ 3.Diversify ทำอย่างไรให้ธุรกิจกระจายความเสี่ยงมากขึ้น
ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ก็ตกผลึกด้วย การสร้างพอร์ตโฟลิโอให้มากขึ้นหลากหลาย โดยเน้นไปที่การรับบริหารโรงแรมและขยายธุรกิจอื่นที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นและขยายธุรกิจใหม่ๆเช่น อาหาร การศึกษา อสังหาริมทรัพย์
กลยุทธ์นี้จึงเป็นที่มาของการวางแผน 9 ปี ของดุสิตธานี ภายใต้การนำทัพของ ศุภจี ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงสำคัญ คือ
ช่วงที่ 1 ช่วงสร้างฐาน (2559-2561) เป็นช่วง 3 ปีแรกของการเข้ามาบริหารงานกลุ่มดุสิตธานี โดยเป้าหมายที่วางไว้จะโฟกัสที่การสร้างคน ทั้งวัฒนธรรมองค์กร ทัศนคติ การพัฒนาทักษะพนักงาน ซึ่วมีพนกงานมากวา 10,000 คน พัฒนากระบวนการทำงาน เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี สร้างศักยภาพของสินทรัพย์กลุ่มดุสิตธานี และยกระดับศักยภาพของแบรนด์ดุสิตธานีให้ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์ หรือเซกเมนต์ที่มีศักยภาพสูง รวมถึงเตรียมพร้อมด้านโครงสร้างการเงินเพื่อรองรับแผนระยะยาว เพื่อให้กลุ่มดุสิตธานีเตรียมพร้อมที่จะนำเสน่ห์แบบไทยและความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไทยไปให้คนทั่วโลกได้รู้จัก
ช่วงที่ 2 ช่วง Take Off (2562-2565) เป็นช่วงขยายการเติบโตให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งการขยายธุรกิจโรงแรม ควบคู่ไปกับการขยายบริการที่หลากหลายรูปแบบ ขยายธุรกิจการศึกษา พร้อมๆ กับการขยายสู่ธุรกิจอาหาร ด้วยการจัดตั้งบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด รวมถึงการเดินหน้าขยายโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีมูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท อ
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่กลุ่มดุสิตธานี ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ โดยเน้นการสำรองเงิน เพื่อให้มีกระแสเงินสดที่เพียงพอ ด้วยการตัดสินใจขายทรัพย์สินบางส่วนออกไปเพื่อปรับโมเดลทางการเงินใหม่ ด้วยวัตถุประสงค์หลักในการรักษาองค์กรให้เดินต่อไปได้ และโครงการสำคัญยังคงเดินหน้าโดยไม่ลดทอนคุณภาพ
ช่วงที่ 3 ช่วง Unlock Value (2566-2568) เป็นช่วงเก็บเกี่ยวการเติบโต จากการที่กลุ่มดุสิตธานีลงทุนไปก่อนหน้านี้ เพื่อสร้างผลประกอบการที่เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการขยายโรงแรม จากที่เคยมีโรงแรม 27 แห่งใน 8 ประเทศ ปัจจุบัน ณ ไตรมาสแรกปี 2568 กลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมและวิลล่าภายใต้การบริหารจัดการรวม 294 แห่ง จำนวนห้องพักรวม 12,909 ห้อง ใน 18 ประเทศ เป็นโรงแรม 55 แห่งและวิลล่าหรู 239 แห่ง และในปี 2568 จะรับรู้รายได้จากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ เต็มปี หลังจากเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2567
ทั้งนี้นอกจากแบรนด์ดุสิตธานี และแบรนด์อื่นที่เคยมีอยู่มาก่อนแล้วนั้น ยังมีการเปิดแบรนด์ใหม่เพิ่มอีก เพื่อจับตลาดแตกต่างกันไป คือ 1. แบรนด์ อาศัย , 2. แบรนด์ ดุสิต สวีท, 3. แบรนด์ อีลิท เฮฟเว่น และ 4.แบรนด์ ดุสิตคอลเลคชั่น
นอกจากนี้ กลุ่มดุสิตธานียังขยายการลงทุนในธุรกิจอาหาร ผ่านบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งปัจจุบัน มีการลงทุนใน บริษัท เอ็บเพอคิวร์ เคเทอริ่ง จำกัด ผู้นำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ให้บริการกับโรงเรียนนานาชาติในไทย บริษัท เดอะ เคเทอเรอร์ส จอยท์ สต็อก จำกัด (The Caterers Joint Stock) หรือ เดอะ เคเทอเรอร์ส (The Caterers) ผู้ให้บริการด้านการจัดเลี้ยงสำหรับโรงเรียน และงานเลี้ยงรับรองนอกสถานที่ในประเทศเวียดนาม บริษัท บองชู เบเกอรี่ เอเชีย จำกัด เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ขนมเบเกอรี่ “บองชู” (BONJOUR) มีสาขารวมทั้งสิ้น 99 แห่ง ครอบคลุมในประเทศไทย จีน และเวียดนาม และมีโรงงานผลิตเบเกอรี่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด จังหวัดระยอง และขณะนี้ บริษัทกำลังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวสำหรับการนำธุรกิจอาหารเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
“ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา แม้กลุ่มดุสิตธานีจะเผชิญกับปัจจัยท้าทายและความยากลำบาก ทั้งจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงการตัดสินใจยุติการให้บริการโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งเดิม เพื่อสร้างโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่ แต่ตลอดเส้นทางที่เราต้องเผชิญนั้น คณะกรรมการ ฝ่ายบริหาร รวมถึงพนักงานทุกคนของกลุ่มดุสิตธานี ก็ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ผลักดันให้แผนกลยุทธ์ 9 ปีที่วางไว้ สามารถเป็นไปตามเป้าหมายได้อย่างน่าพอใจ โดยเราจะยังคงเดินหน้าตามแผนต่อไปด้วยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน และเรายังเชื่อมั่นในเจตนารมย์ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ท่านผู้ก่อตั้ง ที่จะนำความเป็นไทยไปสู่สายตาโลก ทุกโครงการ ทุกการลงทุน ทุกการขยายโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มดุสิตธานีตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็เพื่อเชื่อมโยงความเป็นหนึ่งเดียวของแบรนด์ไทยที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยบริการอันอบอุ่นแบบไทยภายใต้มาตรฐานของดุสิตธานี ให้ทั่วโลกได้ประจักษ์ถึงแบรนด์ “ดุสิตธานี” ที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย ที่พร้อมจะกลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนหลังจากนี้” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานี กล่าว