xs
xsm
sm
md
lg

“ไฮสปีด”ยังไม่มา“อีอีซี”ยืดออก NTP“อู่ตะเภา” จับตา UTA ปรับลดไซด์พัฒนายื่นรัฐเยียวยาเหตุรถไฟล่าช้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“อีอีซี”ยืดกำหนดออก NTP “สนามบินอู่ตะเภา”หลังแก้สัญญา”ไฮสปีด3 สนามบิน”ยืดเยื้อ ขณะที่ UTA มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาเหตุรัฐทำเงื่อนไขไม่ครบ คาดเสนอเยียวยา ปรับแผนลดไซด์พัฒนาเฟสแรกเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า กรณียังไม่มีรถไฟบริการ

รายงานข่าวแจ้งถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกซึ่งมี บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่นจำกัด (UTA) ประกอบด้วย บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ,บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ,บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับสัมปทาน วงเงิน 290,000 ล้านบาท โดยกองทัพเรือ และ UTA ลงนามสัญญา เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 แต่ยังไม่สามารถส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (Notice to Proceed: NTP) ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี วางกำหนดออก NTP ให้เอกชนในวันที่ 18 มิ.ย. 2568 นี้ ขณะที่ทางเอกชน ระบุว่าหากไม่สามารถออก NTP ให้ตามกำหนดอาจจะพิจารณายกเลิกสัญญาสัมปทาน เพราะเป็นเหตุจากภาครัฐไม่สามารถทำตามสัญญา

แหล่งข่าวจากอีอีซี กล่าวว่า วันที่ 18 มิ.ย. 2568 นั้นเป็นเป้าหมายที่อีอีซีวางไว้ว่าจะออก NTP เริ่มงานสนามบินอู่ตะเภาหลังจากได้มีการหารือร่วมกับเอกชน แต่เนื่องจากยังติดขัดในเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาและแผนการก่อสร้างร่วมกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ( ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่ยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งอีอีซี จะเร่งหารือกับ UTA เพื่อขอเลื่อนกำหนด NTP ออกไปก่อน เร็วสุดอาจจะเป็นเดือน ก.ค.นี้


ทั้งนี้ หนึ่งในเงื่อนไขในการส่งมอบ NTP โครงการสนามบินอู่ตะเภาเมืองการบิน คือ รถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ต้องมีความชัดเจนว่าจะเริ่มงานได้เมื่อไร แผนการก่อสร้าง และกำหนดการเปิดเดิน ยังไม่ชัดเจนทำให้ไม่สามารถประสานเพื่อกำหนดแผนดำเนินงาน ร่วมกันกับสนามบินอู่ตะเภาได้ จึงทำให้ยังออก NTP ให้ UTA ไม่ได้

สำหรับสิทธิในการเลิกสัญญาของ UTA นั้นเป็นไปตามข้อสัญญา ที่เขียนไว้ ว่าหากเงื่อนไขใดไม่เสร็จ โดยไม่ใช่ความผิดของเอกชน ทางเอกชนสงวนสิทธิ์เลิกสัญญาได้ นอกจากนี้ ยังระบุอีกว่ากรณีที่ไม่เลิกสัญญา คู่สัญญาฝ่ายรัฐต้องเยียวยาผลกระทบให้เอกชนอย่างเหมาะสมเป็นธรรม โดยไม่ใช้งบประมาณรัฐ

แหล่งข่าวกล่าวว่า จากการเจรจา ทาง UTA ต้องการเดินหน้าโครงการมากกว่าเลิกสัญญา เพราะที่ผ่านมาได้เตรียมความพร้อมไปมากแล้ว แต่การจะเริ่มต้นโครงการสนามบินอู่ตะเภา โดยที่รถไฟเชื่อม 3 สนามบินไม่มีความชัดเจน จะเป็นปัญหาโดยเฉพาะความคุ้มค่าการลงทุนของธุรกิจ ซึ่งสถาบันการเงิน ไม่มั่นใจในการปล่อยกู้ ซึ่งคาดว่าทาง UTA จะยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเข้ามา ว่าต้องการให้รัฐสนับสนุนอย่างไรบ้างเพื่อให้โครงการได้เริ่มต้น

โดยคาดว่า UTA อาจจะปรับแผนดำเนินงานใหม่ กรณีดำเนินการไปโดยที่โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินยังไม่ชัดเจนหรือยังล่าช้า ทำอย่างไรเพื่อให้สนามบินสามารถดำเนินการได้อย่างคุ้มค่าในกรณียังไม่มีรถไฟความเร็วสูง เช่น ปรับลดขนาดในระยะแรกลง ให้เหมาะสมกับปริมาณผู้โดยสารและเที่ยวบินที่จะเกิดขึ้นจริงมากที่สุด เพื่อลดภาระทางการเงิ


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการปรับแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เนื่องจากผลกระทบโควิด- และการส่งมอบพื้นที่ของฝ่ายรัฐไปแล้วแต่มีรถไฟเชื่อม 3 สนามบินตามแผน จากเดิมพัฒนา 4 ระยะ (ระยะที่ 1 รองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคน/ปี ระยะที่ 2 รองรับที่ 30 ล้านคน/ปี ระยะที่ 3 รองรับที่ 45 ล้านคน/ปี ระยะที่ 4 รองรับที่ 60 ล้านคน/ปี) ปรับเป็น 6 ระยะ เริ่มต้นระยะที่1 รองรับที่ 8 ล้านคน/ปี และเมื่อจำนวนผู้โดยสารอยู่ในระดับ 75-80% จึงจะพัฒนาในระยะถัดไป ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับลดขนาดระยะที่ 1 ลงต่ำกว่า 8 ล้านคน/ปี

@คาดขั้นตอนตรวจร่างสัญญา ไฮสปีด 3 สนามบินเสร็จเดือนนี้

ด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวถึงความคืบหน้า โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. มูลค่าลงทุน 224,544.36 ล้านบาทว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯระหว่างรฟท.กับ บจ.เอเชีย เอราวัน (ซี.พี.) ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการตรวจสัญญาของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยทราบว่า ใกล้จะสรุปเร็วๆนี้ หลังจากนี้ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดจะส่งร่างสัญญาฯกลับมาที่ รฟท. เพื่อเสนอบอร์ดรฟท.และส่งไปยัง คณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดกพอ.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติตามขั้นตอน ซึ่งจะนำไปสู่การลงนามในสัญญาฉบับใหม่และส่งมอบหนังสือ NTP กันต่อไป โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น