ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทาย สำหรับ “คุณซัน - บุญรอด อัศวสิทธิถาวร” ทายาทรุ่นสองแห่ง Willy Welcraft และ “คุณมายด์ - วรัญญา อัศวสิทธิถาวร” ภรรยาคู่ชีวิต ทุกความมั่นคงและก้าวสำคัญในชีวิตล้วนมี “ครอบครัว” เป็นเบื้องหลัง บ้านหลังนี้ไม่ได้แค่หล่อหลอมความสำเร็จ แต่ยังเติมเต็มหัวใจในทุกวัน
บ้านสามรุ่น: รากฐานที่มั่นคงของชีวิต
สิ่งที่ทำให้บ้านหลังนี้พิเศษ คือความผูกพันของสามเจเนอเรชัน อากง อาม่า คุณยาย และหลานสาวตัวน้อย โต๊ะอาหารเย็นจะเป็นที่รวมรุ่นคุณพ่อคุณแม่ (อากง-อาม่า), คุณยายของไอรีณ และครอบครัวเล็กๆ อันแสนอบอุ่นของคุณซันกับคุณมายด์และน้องไอรีณ สมาชิกใหม่ของบ้านที่ทุกคนหลงรัก
ทุกวันหยุดมักจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการสอนเรื่องชีวิตผ่านบทสนทนาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าไปจนถึงหลาน
อากงเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ปลูกฝังเรื่องความอดทน ความตั้งใจ และความรับผิดชอบให้ลูกหลานเสมอ ด้วยคำสอนและการเป็นแบบอย่างที่มั่นคง ทำให้ทุกคนในบ้านได้เห็นคุณค่าของการพยายามและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค
อาม่าเป็นผู้นำหญิงที่เก่งรอบด้าน ทั้งด้านการบริหารงาน ดูแลสมาชิกในบ้าน และใส่ใจทุกรายละเอียด อาม่าทำให้ทุกคนเห็นว่าการมีวินัย ความเอาใจใส่ และความทุ่มเท คือหัวใจของการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณยายเป็นที่พึ่งทางใจ คอยเติมเต็มบ้านด้วยความรัก ความอบอุ่น และการดูแลเอาใจใส่ในทุกเรื่องเล็กน้อย ไม่ว่าสมาชิกคนไหนจะเจอเรื่องอะไรมาก็ตาม คุณยายจะคอยให้กำลังใจและดูแลด้วยความเข้าใจเสมอ
สำหรับบ้านหลังนี้ ความสำเร็จของคนรุ่นใหม่เกิดได้จากพลังสนับสนุนของคนรุ่นเก่าและความเข้าใจของคนทั้งบ้าน
คุณซัน: นักออกแบบที่เติบโตจากครอบครัวที่ให้พื้นที่กับความคิดสร้างสรรค์
คุณซันไม่ใช่แค่ทายาทธุรกิจ แต่ยังเป็น “นักออกแบบ” ผู้พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับ Willy Welcraft ผู้ผลิตพาทิชั่นห้องน้ำยอดขายอันดับหนึ่งของประเทศ
เบื้องหลังแนวคิดทุกดีไซน์มาจากโต๊ะกินข้าวที่บ้านที่ทุกคนสามารถเสนอความเห็นร่วมกันได้
คุณซันเล่าว่า “ผมว่าความกล้าที่จะคิดนอกกรอบมาจากบ้านเรานี่แหละครับ อากงกับอาม่าเลี้ยงลูกหลานแบบเปิดกว้าง ให้ลองผิดลองถูก ไม่ตีกรอบลูกชายว่าต้องเป็นแบบใคร ผลงานดีไซน์ของ Willy หลายอย่างเลยเกิดจากโต๊ะกินข้าวที่บ้านเรา”
ทุกวันนี้ เวลาคิดโปรเจกต์ใหม่ๆ หรือแก้ปัญหางาน คุณซันยังเลือกเอาความเห็นจากคนในบ้านมาเป็นแนวคิดหลัก
แรงบันดาลใจของเขาจึงไม่ใช่แค่เรื่องฟังก์ชันหรือความสวยงาม แต่คือ “ความสบายใจในบ้านและคนในบ้าน” จริงๆ
คุณมายด์: แรงซัพพอร์ตที่เป็นเบื้องหลังและหัวใจของบ้าน
ในขณะที่คุณซันขับเคลื่อนด้านดีไซน์และธุรกิจ “คุณมายด์” คือกำลังใจหลักและผู้จัดการบ้านที่ดูแลตั้งแต่ลูก สามี ไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่สามีและคุณยายของหนูน้อยไอรีณ
คุณมายด์บอกว่า “ชีวิตจริงไม่มีสูตรสำเร็จค่ะ บางวันก็ล้ม บางวันก็ลุก แต่เราสองคนพยายามหันหน้าคุยกันก่อน ปรึกษากัน ใครเหนื่อยก็พักก่อน ใครไหวก็ช่วยอีกคนค่ะ”
คุณซันเองก็เสริมว่า “มายด์คือคนที่เข้าใจผมที่สุด เวลาเหนื่อยหรือคิดไม่ออก เรื่องงานหรือเรื่องในบ้าน ขอแค่ได้คุยกับเค้า ทุกอย่างก็เบาลงแล้วครับ”
นอกจากดูแลงานบ้านและลูก คุณมายด์ยังเป็นผู้ช่วยที่ปรึกษาเรื่องงาน ธุรกิจ และให้ความเห็นกับโปรเจกต์ใหม่ๆ อย่างแท้จริง
Work-Family Balance: สูตรลับของครอบครัวยุคใหม่
ชีวิตของคุณซันและคุณมายด์คือการสลับบทบาทอย่างกลมกลืน เช้าอาจเปิดประชุมออนไลน์ ขณะลูกน้อยนอนอยู่ข้างๆกลางวันคือเวลาวางแผนธุรกิจ เย็นคือการจับมือเล่นกับลูก อ่านนิทานให้ลูกฟังหรือหัวเราะกันในห้องนั่งเล่น
สำหรับบ้านหลังนี้ “งาน” กับ “บ้าน” คือเรื่องเดียวกัน เพราะทั้งคู่เชื่อว่าทุกช่วงเวลามีความหมาย จะประชุมหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมลูกก็สำคัญเท่ากัน
บ้านที่ “เป็นของเรา” ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ
หากเดินเข้าบ้านหลังนี้ จะเจอของเล่นเด็กเกลื่อนพื้นในพื้นที่ของหนูน้อยไอรีณ คนน่ารักของบ้านที่ครอบครัวตกหลุมรัก
เสียงหัวเราะ เสียงร้อง เสียงแกล้งกันระหว่างสามคนพ่อแม่ลูก บางวันบ้านอาจยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่นั่นคือเครื่องหมายของ “บ้านที่มีชีวิต”
คุณมายด์พูดพร้อมหัวเราะว่า “บ้านเราไม่ต้องเป๊ะ ขอให้เต็มไปด้วยความสุข ได้เห็นรอยยิ้มของลูก ได้อยู่ด้วยกัน นั่นแหละบ้านที่สมบูรณ์สำหรับเรา”
ส่วนคุณซันเองก็เติมว่า “บ้านของเราต้องเป็นที่ที่ทุกคนอยากกลับมาเสมอ ไม่ว่าข้างนอกจะเป็นยังไง กลับบ้านต้องสบายใจ กล้าหัวเราะ กล้าขอโทษ กล้าร้องไห้”
รักแรกที่ข้ามเวลา สู่ชีวิตคู่และบทบาทพ่อแม่
ย้อนกลับไปสมัยมัธยม คุณซันและคุณมายด์เป็นรักแรกของกันและกัน เรียนคนละโรงเรียน ต่างสังคม แตกต่างกันหลายด้าน แต่หัวใจยังคงอยู่ด้วยกัน
เส้นทางรักผ่านทั้งช่วงเวลาห่างกันไกล ความท้าทาย ความไม่เข้าใจในบางวัน แต่ท้ายที่สุดเมื่อกลับมาเจอกันที่เมืองไทย ทั้งคู่ต่างพร้อมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะคู่ชีวิต
วันนี้ “น้องไอรีณ” ลูกสาวตัวน้อย กลายเป็นศูนย์กลางของบ้าน ทำให้ทุกวันเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และความหมายที่พิเศษกว่าที่เคย
“ไอรีณเหมือนพลังงานบวกที่ทำให้บ้านนี้มีชีวิตชีวาขึ้นตลอด” คุณซันพูดพร้อมรอยยิ้ม
ต่างเส้นทาง ต่างสไตล์ แต่เติมเต็มกัน
คุณซันเติบโตในโรงเรียนนานาชาติ ได้เรียนรู้ความคิดแบบสากล กล้าคิดกล้าทำและปรับตัว
ขณะที่คุณมายด์เติบโตในโรงเรียนหญิงล้วน ฝึกวินัย ความละเอียด การบริหารเวลา และความรับผิดชอบ
เมื่อโตขึ้น ทั้งคู่ยังเลือกไปเรียนต่อคนละประเทศ คุณซันไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ส่วนคุณมายด์เลือกเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น
แต่ถึงจะต้องห่างกันคนละฟากโลก ความสัมพันธ์ยังคงเหนียวแน่น ต่างเป็นกำลังใจให้กันตลอด
คุณซันเล่าให้เราฟังด้วยรอยยิ้มว่า “จุดแข็งของบ้านเราคือความต่าง ผมเป็นคนมุ่งมั่น กล้าคิด กล้าทำ แต่อาจจะขาดความรอบคอบไปบ้าง ส่วนมายด์เค้าจะเป็นคนบริหารจัดการเก่ง รอบคอบและมองรอบด้านกว่า เราเลยเติมเต็มกันในทุกจุด เหมือนแต่ละคนได้เสริมสิ่งที่อีกฝ่ายขาดหายไป”
ทางด้านคุณมายด์ก็แบ่งปันว่า “บางทีเราเห็นโลกไม่เหมือนกัน แต่พอได้เปิดใจคุยและรับฟังกัน เรากลับได้ทางออกใหม่ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อน ความต่างเลยไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวสำหรับเรา แต่กลับทำให้บ้านนี้น่าอยู่และไม่น่าเบื่อเลยค่ะ”
คุณซันเสริมต่ออีกว่า “ผมเชื่อว่าถ้าเราเปิดใจรับฟังกันจริงๆ ไม่ว่าจะแตกต่างกันแค่ไหน สุดท้ายเราจะเดินไปด้วยกันได้เสมอ บ้านที่มีความต่างคือบ้านที่มีชีวิต”
และแน่นอนว่าชีวิตคู่ไม่ใช่เรื่องโรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป
คุณมายด์เองก็แบ่งปันอย่างตรงไปตรงมาว่า “บางวันก็มีเห็นต่างกัน มีถกกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ แต่เราเลือกที่จะคุยกัน ฟังกันมากกว่าโกรธหรือเก็บไว้คนเดียว สุดท้ายก็เข้าใจกันมากขึ้น”
ทำไมต้อง Work-Family Balance?
คุณซันและคุณมายด์เห็นตรงกันว่า โลกยุคใหม่ไม่มีเส้นแบ่งชัดระหว่าง “งาน” กับ “บ้าน”
บางวันงานยุ่งมากต้องประชุมขณะอุ้มลูก
บางวันต้องตอบงานแบบเร่งด่วนขณะกล่อมลูกนอน
บ้านนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่มีแผนเป๊ะๆ ว่าเวลาไหนคือเวลาในบ้าน เวลาไหนคือเวลาของการทำงาน
แต่ทั้งคู่เลือก “ใส่ใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า” ให้ดีที่สุด
เมื่ออยู่กับลูก ก็วางทุกอย่างเพื่อเล่นด้วย
เมื่อทำงาน ก็ใช้เวลาอย่างเต็มที่
เหนื่อยพร้อมกันก็หยุดพัก กอดกัน และเติมพลังใจ
คุณซันเล่าว่า “ผมอยากให้ไอรีณเห็นว่าพ่ออยู่ข้างเขาเสมอ ไม่ใช่แค่ชายคนหนึ่งที่ทำงานหนักแต่ไม่มีเวลาให้ลูก ทุกเช้า ทุกคืน ถ้าได้กอดลูก ได้หัวเราะกับเค้า แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม”
ทางคุณมายด์ก็บอกว่า “บางทีเรากดดันตัวเองเยอะว่าต้องเก่ง ต้องสมบูรณ์แบบ แต่พอเหนื่อยพร้อมกัน แค่ได้ยิ้มให้กัน ได้พูดความในใจ บ้านก็เป็นที่ที่ปลอดภัยทันทีค่ะ”
ครอบครัว = ทีมเวิร์กที่ดีที่สุด
ในบ้านของทั้งสอง…ไม่มีหน้าที่ใดเล็กหรือสำคัญเกินไป
คุณซันจะเป็นฝ่ายอุ้มลูกบ้าง เล่นด้วยบ้าง
คุณมายด์แบ่งเวลาให้ทั้งงาน ดูแลบ้านและลูก
อากง อาม่า คุณยายก็ช่วยดูแลหลาน ช่วยแบ่งเบาให้ครอบครัวเล็กเหนื่อยน้อยลง
ทั้งคู่ช่วยกันดูแลเรื่องเล็กน้อยในบ้าน ผลัดกันเติมพลังใจ เป็นทีมเวิร์กที่ดีที่สุดของกันและกัน
“บางทีผมอุ้มลูกตอนเช้า ให้มายด์ได้นอนพัก หรือบางวันเค้าก็ช่วยเตรียมข้าวเย็นให้ครอบครัว เรื่องเล็กๆ แบบนี้แหละที่ทำให้บ้านกลายเป็นบ้านจริงๆ” คุณซันบอก
โมเมนต์เล็กๆ ในแต่ละวัน
บ้านหลังนี้มีโมเมนต์ธรรมดาที่แสนพิเศษ เช่น การเล่นกับลูกหลังเลิกงาน
การทานข้าวพร้อมหน้าทุกเย็น ไม่ว่าจะงานยุ่งแค่ไหน
หรือเพียงแค่การหัวเราะและส่งยิ้มให้กันในวันที่ต่างคนต่างเหนื่อย
สิ่งเหล่านี้คือพลังใจที่เติมเต็มความอบอุ่นและสร้างรากฐานชีวิตให้ลูก
ข้อคิด Work-Family Balance สำหรับครอบครัวยุคใหม่
เพราะบ้านคือจุดเริ่มต้นของทุกความสำเร็จความสำเร็จที่ยั่งยืน…ล้วนเริ่มต้นจากครอบครัวที่เข้าใจกันและรักกันเสมอ
บ้านหลังเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความรัก
คือแรงผลักดันสำคัญให้ทุกคนในบ้านกล้าเผชิญทุกความท้าทาย
ขอให้ทุกวันในบ้านของคุณ เป็นพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจ เติมเต็มหัวใจ และเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขและความสำเร็จในทุกเส้นทางชีวิต
คุณซันฝากทิ้งท้ายกับเราว่า “ผมเชื่อว่าความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ได้วัดที่ขนาดของบ้าน หรือยอดขายในธุรกิจ แต่คือการได้กลับบ้านที่อบอุ่น มีรอยยิ้มและคนที่รักรออยู่เสมอ”
คุณมายด์ปิดท้ายด้วยรอยยิ้มว่า “บางวันเราก็เหนื่อยและไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่มองหน้ากัน เราได้ย้ำกับตัวเองว่าบ้านที่มีความรัก ความเข้าใจ คือของขวัญที่ดีที่สุดของชีวิตแล้วค่ะ”
และสุดท้าย… ภาพของครอบครัวเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยความรักและเสียงหัวเราะนี้เอง
คือแรงบันดาลใจสำคัญ ที่จะผลักดันให้แต่ละคนกล้าก้าวต่อไปบนเส้นทางของตัวเอง… ด้วยหัวใจที่มั่นคงไม่มีสิ้นสุด