xs
xsm
sm
md
lg

กองทุนประชารัฐปี 68 ปล่อยสินเชื่อ SME กว่า 2.2 พันล้าน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โชว์ปี 68 อนุมัติสินเชื่อกว่า 2.2 พันล้านบาทช่วย SME ทุกมิติ ช่วยเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 1 หมื่นล้านบาท ควบคู่กับโครงการพัฒนาศักยภาพที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 350 ล้านบาท พร้อมเปิดรับ SME เข้าร่วมโครงการส่งเสริมพัฒนาอย่างครบวงจร 4 ด้าน เพื่อสนับสนุน SME ไทยเติบโตในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผลการดำเนินงานโครงการสินเชื่อและการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 ว่า กองทุนได้เปิดตัว 2 โครงการสินเชื่อใหม่ วงเงินรวม 1,900 ล้านบาท คือ 1. โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 1,200 ล้านบาท และ 2. โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงิน 700 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ประกอบการต้องการสินเชื่อจำนวนมาก จึงได้ขยายกรอบวงเงินโครงการสินเชื่อฯเสือติดปีกเพิ่มอีก 400 ล้านบาท โดยได้มีการอนุมัติสินเชื่อแล้วจำนวนกว่า 2,200 ล้านบาท คาดว่าโครงการนี้เพิ่มสภาพคล่องให้ SME สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงานไว้ได้มากกว่า 5,000 อัตรา

จากความสำเร็จของโครงการและผลตอบรับที่ดี กองทุนจึงมีแผนเปิดตัวสินเชื่อใหม่เพิ่มเติมจำนวน 2 โครงการภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยสินเชื่อโครงการแรกจะมีเงื่อนไขใกล้เคียงกับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ในปี 2568 สามารถกู้ได้ทั้งลูกค้าเดิมของกองทุนและลูกค้าใหม่ และอีกหนึ่งโครงการจะเป็นสินเชื่อเติมทุนหนุนธุรกิจ (Top Up) ซึ่งเป็นเงินทุนช่วยเหลือและสนับสนุนลูกหนี้สินเชื่อชั้นดี (บัญชีเกรด A) เพื่อนำไปใช้ในการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรม ปรับปรุงเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ กรอบวงเงินกว่า 2,800 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างยื่นของบประมาณในปีงบประมาณ 2569

ทั้งนี้ ในครึ่งหลังของปี 2568 กองทุนฯเตรียมพร้อมออกมาตรการพลิกฟื้นธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ให้ได้รับการยกเว้นการชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 12 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเป็นการลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) นอกเหนือจากมาตรการด้านสินเชื่อ 


นายณัฐพลกล่าวว่า ในปี 2568 กองทุนยังได้ดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี จำนวน 2 โครงการ งบ 10 ล้านบาท ได้แก่ โครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน และโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัล ซึ่งมุ่งเน้นการช่วย SME ให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 350 ล้านบาท
และกองทุนยังได้ทุ่มงบอีกกว่า 20 ล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ), โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ), โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ) และโครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ)

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพัฒนาศักยภาพธุรกิจจากสถาบันเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม โดยจะเริ่มเปิดรับสมัครในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 เป็นต้นไป


ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ทั้งแรงกดดันทางการค้าโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า ส่งผลให้ World Bank และ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ SME ไทย ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง การขาดสภาพคล่อง และปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง SME เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนให้ SME สามารถเข้าถึงเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้อย่างเร่งด่วน

กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขยืดหยุ่น ควบคู่การให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินธุรกิจ ผ่านกลไกการทำงานร่วมกับหน่วยงานในแต่ละจังหวัดที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2567 กองทุนได้อนุมัติสินเชื่อรวมกว่า 26,800 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการจำนวนกว่า 18,000 ราย ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 80,000 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น